สืบสาน “แนวคิดของความพอเพียง” บันไดสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงได้รับการยอมรับว่าสามารถเป็นเข็มทิศชี้นำทางไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนได้
จากการนำไปปรับใช้ในทุกภาคส่วนของประเทศ ทำให้เกิดผลประจักษ์ เกิดการสร้างองค์ความรู้ ที่รวบรวมและถ่ายทอดไปสู่ผู้ที่สนใจศึกษาแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน ให้สามารถนำแนวคิดนี้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้
“แนวคิดของความพอเพียง” นี้ควรได้รับการบ่มเพาะตั้งแต่ระดับครัวเรือน และระดับชุมชน และต่อยอดให้คนในระดับพื้นที่ และภูมิภาค เรียนรู้ เข้าใจและนำไปปฏิบัติ สร้างเครือข่ายทางสังคมที่เข้มแข็ง มีการแบ่งปัน ช่วยเหลือเกื้อกูล ร่วมกันถ่ายทอดเทคโนโลยีและคิดสร้างสรรค์เพื่อสร้างนวัตกรรม ในรูปแบบของสินค้าและบริการใหม่ๆ ออกสู่ตลาด ภายใต้แนวคิด และการปฏิบัติที่มุ่งหวังประโยชน์ในระยะยาว เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน
ปัจจุบันมีหลากหลายองค์กรที่น้อมนำศาสตร์พระราชาในเรื่อง “แนวคิดของความพอเพียง” มาเป็นหลักในการดำเนินงาน ทำให้สามารถก้าวพ้นอุปสรรค ปัญหาต่างๆ และพัฒนาต่อยอด เติบโตจากธุรกิจแบบครอบครัว มาเป็นธุรกิจที่ใหญ่ขึ้น หรือขยายตัวเป็นกิจการระดับประเทศได้ เป็นบทพิสูจน์ให้เห็นว่า การปรับใช้ “แนวคิดของความพอเพียง” ไม่ได้หมายถึงการยืนอยู่กับที่ แต่เป็นการสร้างความเข้มแข็งจากภายใน บนพื้นฐานของความพอเพียงในทุกๆ กิจกรรมที่ทำ และท้ายที่สุดธุรกิจก็สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน
ดังตัวอย่างการสืบสานแนวคิดของความพอเพียงจากเวทีเสวนาเรื่อง บทเรียนการพัฒนาอย่างยั่งยืนในประเทศไทย ในการประชุมวิชาการ "ความท้าทายต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของเอเชีย" Sustainable Development Challenges in Asia ณ โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ ที่ร่วมกันจัดขึ้นโดยสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ มูลนิธิมั่นพัฒนา บริษัทเนชั่นมัลติมีเดียกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) สำนักงานส่งเสริมการจัดการประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) และบริษัท ช.การช่างจำกัด (มหาชน) เนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติครบ 70 ปี ใน พ.ศ. 2559 เมื่อเร็วๆนี้
ชุมชนเข้มแข็งหมู่บ้านปางจำปี
ด้วยเป้าหมายในการสร้างความเข้มแข็งของชุมชน ผ่านการปลูกฝังให้ครัวเรือนรู้จักพึ่งพาตนเอง มีผลิตผลเพียงพอต่อการกินใช้ตลอดปี มีรายได้เพิ่มขึ้น ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และลดหนี้สินที่มีอยู่ลงให้ได้ หมู่บ้านปางจำปี อำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ จึงเป็นหนึ่งในพื้นที่ชุมชนตัวอย่างที่วางเป้าหมายของการดำรงชีพโดยการพึ่งพาตนเองเป็นหลัก แล้วค่อยๆ ปรับวิถีชีวิตให้เดินอยู่บนทางสายกลางแห่งความพอเพียง
ปณิธี บุญสา อาจารย์สาขาวิชาการจัดการชุมชน มหาวิทยาลัยแม่โจ้ (วิทยาเขตแพร่ เฉลิมพระเกียรติ) บอกเล่าเรื่องราวของ “หมู่บ้านปางจำปี” ว่า เมื่อครั้งแรกเริ่มที่ชุมชนปางจำปีเสนอโครงการพัฒนาชุมชนมาที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ว่าต้องการเลี้ยงกุ้งและปลากระชัง แต่เมื่อมีการสำรวจพื้นที่ของชุมชนกลับพบปัญหาในการประกอบอาชีพของชาวบ้านที่ประสบกับสถานการณ์ภัยแล้ง ขาดแคลนน้ำสำหรับการทำเกษตรกรรม ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าหากโครงการนี้ได้รับการอนุมัติอาจไม่ประสบความสำเร็จและจะสูญเสียงบประมาณไปโดยเปล่าประโยชน์
อาจารย์ปณิธี กล่าวว่า เมื่อวิเคราะห์ถึงปัญหาพื้นฐานของชุมชนแล้ว จึงเข้าไปพูดคุยเพื่อสร้างองค์ความรู้และทำกิจกรรมร่วมกันกับชาวบ้าน เพื่อสร้างความเข้าใจก่อนว่าถ้าไม่แก้ปัญหาพื้นฐานคือการจัดการทรัพยากรน้ำและฟื้นฟูป่าต้นน้ำที่เสื่อมโทรมก่อน หมู่บ้านปางจำปี ก็จะไม่มีแหล่งน้ำที่เพียงพอสำหรับการเพาะปลูกและการใช้ในชีวิตประจำวัน
อาจารย์ปณิธี กล่าวเพิ่มเติมว่า จุดเปลี่ยนที่สำคัญ คือการให้คนในชุมชน หันมาร่วมกันแก้ไขปัญหาน้ำและป่า โดยการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนเอง เพื่อให้ทุกคนในชุมชนคิดหาวิธีการแก้ปัญหาร่วมกัน เช่น การระดมความร่วมมือช่วยกันทำฝาย วังปลา และบ่อพวง และร่วมกันสอดส่องไม่ให้มีการจับปลาในรัศมี 500 เมตร เมื่อชุมชนเริ่มมีแหล่งน้ำและมีป่าที่อุดมสมบูรณ์ก็จะนำมาซึ่งการประกอบอาชีพ สร้างรายได้ให้กับคนในชุมชนเพื่อนำไปสู่เศรษฐกิจชุมชนที่พึ่งตนเองได้และนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป
นายสุจิตต์ ใจมา ผู้นำหมู่บ้านปางจำปี เล่าว่า ในอดีตตนเป็นคนที่ติดเหล้าเมาหัวราน้ำ แต่เมื่อเข้าร่วมโครงการทำวิจัยกับอาจารย์ปณิธี จึงตัดสินใจ “เลิกดื่ม” และเริ่มเปลี่ยนแนวคิด โดยเริ่มจากตัวเราก่อน แล้วขยับไปเป็นการปรับเปลี่ยนในครอบครัวและชุมชน จนถึงวันนี้ คนปางจำปีสามารถดูแลป่า รักษาต้นน้ำ ทำวังปลา (เลี้ยงและเพาะพันธุ์ปลา) พัฒนาแหล่งเรียนรู้ ฟื้นฟูวัฒนธรรม ทำให้เกิดความสามัคคีในชุมชนได้
“เราพัฒนามาไกลมาก จากอาชีพดั้งเดิมของคนในชุมชนที่ทำไร่เลื่อนลอย และตัดไม้ทำลายป่า ต้มเหล้าเถื่อน ตอนนี้เปลี่ยนไปหมด เราเริ่มจากการเข้าใจตัวเองก่อนที่จะมองหาอาชีพใหม่ อาชีพที่จะอยู่กับเราและพัฒนาชุมชนของเราอย่างยั่งยืน" นายสุจิตต์ กล่าวสรุป
โพนยางคำ
จากกลุ่มเกษตรกรสู่แบรนด์ระดับประเทศ
โพนยางคำเป็นพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จึงต้องเลี้ยงพันธุ์วัวที่แข็งแรง ทนทาน เป็นที่มาของการเลี้ยงวัวในแบบ “สหกรณ์การเลี้ยงปศุสัตว์ กรป.กลาง โพนยางคำ จำกัด” ที่ได้ดำเนินรอยตามแนวพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่เคยทรงพระราชทานไว้ในเรื่องการปศุสัตว์ โดยมีใจความว่า "วัวที่จะไปส่งเสริมให้มีการเลี้ยงก็ควรเป็นพันธุ์ที่แข็งแรง และเป็นลูกผสม เพราะวัวพันธุ์แท้เวลานำมาเลี้ยงมักจะตายหมด"
นายชุมพล นาลงพรม รองประธานกรรมการที่ 2 ของสหกรณ์การเลี้ยงปศุสัตว์ กรป.กลาง โพนยางคำ จำกัด กล่าวว่า สหกรณ์ฯ ก่อตั้งขึ้นโดยมีจุดประสงค์เพื่อการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงวัวของเกษตรกรในเขตจังหวัดสกลนครและนครพนม ของ กรป.กลาง (ซึ่งปัจจุบันคือหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา) ร่วมถึงให้การสนับสนุนเกษตรกรผู้เลี้ยงวัวในประเทศ ในเรื่องการผสมเทียมโค บุคลากร และน้ำเชื้อ โคพ่อพันธุ์ เป็นต้น โดยเกษตรกรผู้เลี้ยงวัวจะต้องทำเกษตรแบบครัวเรือนที่สามารถพึ่งพาตนเองได้ คือ การแบ่งพื้นที่สำหรับการเพาะปลูก ทำนา ทำปศุสัตว์ และปลูกหญ้าเพื่อเป็นอาหารวัว ซึ่งจะทำให้มีผลผลิตพอกินตลอดปี ต้นทุนในการผลิตลดลง และสามารถผลิตวัตถุดิบได้ภายในครัวเรือน
นายชุมพล อธิบายว่า สหกรณ์ฯ จะคอยเป็นพี่เลี้ยงให้คำแนะนำ ให้เกษตรสามารถเลี้ยงวัวให้ได้มาตรฐานและขายได้ราคาดี โดยแต่ละครัวเรือนต้องเลือกเลี้ยงวัวลูกผสมพันธุ์ดีจากฝรั่งเศส เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ รวมถึงการต่อยอดจากการเลี้ยงวัวพื้นเมืองเดิมที่มีอยู่ นอกจากนั้นสหกรณ์ฯ ยังมีเป้าหมายการผลิตให้เนื้อวัวมีคุณภาพและสร้างเป็น แบรนด์โพนยางคำ เพื่อการผลิตเนื้อวัวเกรดดีที่มีคุณภาพ
นายจอมขวัญ บุญพินิจ ผู้จัดการสหกรณ์ฯสำนักงานปทุมธานีกล่าวว่า สมาชิกต้องดำเนินธุรกิจไปด้วยกันเพื่อการพัฒนาคุณภาพ และผลผลิตให้ได้ตามมาตรฐานสากลให้เป็นที่ยอมรับของตลาดทั้งในและต่างประเทศรวมถึงมีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และการได้รับคำแนะนำจากหน่วยงานผู้เชี่ยวชาญทั้งจากภายในประเทศและต่างประเทศสำหรับการพัฒนาและต่อยอดกระบวนการเลี้ยงวัวของโพนยางคำให้มีมาตรฐานและมีคุณภาพที่ดี
นายจอมขวัญ กล่าวเพิ่มเติมว่า เราต้องสร้างความแตกต่างของแบรนด์โพนยางคำ โดยการทำให้โพนยางคำเป็นสินค้าระดับพรีเมียม เพื่อเจาะกลุ่มผู้บริโภคของตลาดระดับบน รวมถึงการเพิ่มช่องทางการตลาดทั่วประเทศ เช่น มีศูนย์กระจายสินค้า และมีระบบการดูแลตั้งแต่เกษตรกรภายในสหกรณ์ จนถึงพนักงานขายหน้าร้านในกรุงเทพฯ เป็นการสร้างธุรกิจหนึ่งให้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและการพัฒนาที่ยั่งยืน
เกษตรเพื่อชุมชน ผลิตผลเพื่อคนไทย
ดอยคำ กับภารกิจเพื่อเกษตรกร
นายพิพัฒพงศ์ อิศรเสนา ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ดอยคำผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด บอกเล่าเรื่องราวความสำเร็จของธุรกิจแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ที่นำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นหลักในการดำเนินธุรกิจ จนวันนี้เติบใหญ่เป็นหนึ่งในกิจการเพื่อสังคม หรือ Social Enterprise ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ
นายพิพัฒพงศ์ เล่าถึง การพัฒนาพื้นที่บนดอย และเชิงเขาทางภาคเหนือของประเทศไทย เริ่มต้นจากการเสด็จประพาสทางภาคเหนือของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงเห็นปัญหาความทุกข์ยากของประชาชนในพื้นที่ และต้องการแก้ไขปัญหาการปลูกฝิ่นและทำไร่เลื่อนลอยของชาวเขาในพื้นที่ เมื่อ 40 กว่าปีที่แล้ว ด้วยการพลิกฟื้นผืนดินจากที่เคยแห้งแล้ง และไร้ซึ่งแหล่งน้ำ มาเป็นที่ดินที่อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การทำการเกษตรและปลูกพืชเศรษฐกิจเมืองหนาวที่มีมูลค่าเพิ่ม ด้วยพระวิสัยทัศน์อันยาวไกลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมุ่งมั่นสร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้กับชาวเขา ทรงส่งเสริมการเพาะปลูกและการทำการเกษตร จากโครงการต่างๆ ที่ทรงริเริ่มจนเกิดผลประจักษ์เมื่อชาวเขามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และมีภูมิคุ้มกันที่ดี เมื่อได้ดำเนินชีวิตตามแนวพระราชดำริ
นายพิพัฒพงศ์ กล่าวต่อว่า ดอยคำ เป็นกิจการที่ตั้งขึ้นเพื่อเป็นบันไดก้าวต่อไปของการพัฒนาที่ยั่งยืน เมื่อชาวบ้านมีความเป็นอยู่ที่ดี มีรายได้ และมีอาชีพที่มั่นคงจากการทำการเกษตร และมีการรวมกลุ่มชุมชนอย่างเข้มแข็ง มีกองทุน และสหกรณ์ออมทรัพย์เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมแล้ว ขั้นตอนต่อไปจึงจะต้องมีธุรกิจที่ตั้งขึ้นมาเพื่อรองรับผลผลิตทางการเกษตร นำไปแปรรูป บรรจุ วางแผนการตลาด และกระจายสินค้า วางกลยุทธ์การขายอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านเวลามากว่าทศวรรษ ผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ดอยคำ เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทั่วโลกรู้จักในฐานะผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรแปรรูปที่มีคุณภาพ มีตลาดรองรับ สร้างรายได้กลับเข้าสู่องค์กร และกระจายสู่เกษตรกรในฐานะต้นทางของกระบวนการผลิต
“ปัจจัยแห่งความสำเร็จอยู่ที่ความจริงใจ โดยสินค้าของดอยคำต้องมีคุณภาพตามมาตรฐานสากล และมีราคาที่จับต้องได้ "นายพิพัฒพงศ์กล่าว
ทั้งหมดนี้คือการพัฒนาคุณภาพชีวิต สู่ชุมชนที่เข็มแข็ง และสร้างให้เกิดกิจการที่มั่นคง มีรายได้กลับไปดูแลชุมชนได้ ตามแนวทางปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ศาสตร์พระราชาที่เป็นต้นแบบแห่งการพัฒนาที่ยั่งยืน












