“บ้าน” ด่านแรกทลายกำแพงความเกลียดชัง “ข้ามเพศ”

ยังมีโรคแปลกประหลาดที่ไม่เคยหมดไปจากโลกนี้ นั่นคือ “โรคความเกลียดชัง”
เรามักได้ยินข่าวคราวที่คนทั่วโลกมักถูกกระทำ ถูกทำร้ายหรือแม้แต่ถูกฆ่า เพียงเพราะความเกลียดชังทุกเมื่อเชื่อวัน
ที่สำคัญทุกวันนี้ คนเรามีเหตุผลที่เกลียดชังกัน เพียงเพราะความแตกต่าง แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีสาเหตุบาดหมาง ไม่ได้กระทำร้ายผู้อื่น หรือแม้แต่ความเกลียดชัง เพียงเพราะคนกลุ่มหนึ่งในสังคม อยากมีสิทธิ์เลือกหรือเป็น “เพศ” ที่พวกเขาต้องการได้จุดชนวนให้มนุษย์เข่นฆ่ากันเองไม่น้อย
ในปี 2008-2017 เครือข่ายคนข้ามเพศยุโรป มีการเก็บรวบรวมข้อมูลคนข้ามเพศที่ถูกฆ่า เพราะความเกลียดชังในเพศสภาพ มากถึง 2,264 คน ส่วนในไทยเองก็พบคนข้ามเพศที่ต้องเสียชีวิตจากหน้าหนังสือพิมพ์ไม่น้อยเช่นกัน
ผศ.ดร. รณภูมิ สามัคคีคารมย์ ประธานมูลนิธิเครือข่ายเพื่อนกะเทยเพื่อสิทธิมนุษยชน และอาจารย์ประจำคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า จากรายงานเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายนที่ผ่านมา มีการสำรวจสถานการณ์การถูกเลือกปฏิบัติและเกลียดชังในคนที่เป็น LBGT ได้ให้คำนิยามว่าสังคมไทยเป็นสังคมที่ “รับเรื่องนี้ได้ แต่ไม่อยากสุงสิงด้วย”
นอกจากนี้ ผลสำรวจยังพบข้อมูลว่าบุคคลที่ทำให้คนหลากหลายทางเพศอึดอัด หรือเป็นทุกข์ใจมากที่สุด กลับคือ “ครอบครัว” นั่นเอง โดยมีถึง 34.7% และขณะเดียวกันพวกเขาก็มองว่า หากครอบครัวมีความเข้าใจและยอมรับ ก็จะเป็นคนที่ช่วยพลิกชีวิตแก้ไขปัญหาเขาได้ สอดคล้องกับ UNDP ที่มีการจัดทำแบบสอบถามกว่าสองพันคน พบว่า “ครอบครัวจะเป็นคานงัดสำคัญ” ที่ช่วยให้ LBGT ก้าวพ้นการถูกเลือกปฏิบัติและอคติ 47.5%
“เราเองมีการเก็บข้อมูลมา 6 เดือน ยังพบข้อมูลน่าสนใจว่าส่วนใหญ่ครอบครัวที่มีบุตรหลานเป็นบุคคลมีความหลากหลายทางเพศมักรู้สึกอึดอัดเพราะไม่รู้จะปฏิบัติตัวเองอย่างไร เพราะไม่มีเคยคู่มือปฏิบัติหรือแนวทางที่ให้คำแนะนำ ซึ่งสิ่งที่ครอบครัวที่มีสมาชิกเป็นคนข้ามเพศต้องเผชิญคือแรงกดดันจากคนรอบข้าง”
ดังนั้น เนื่องในวันรำลึกถึงคนข้ามเพศที่ถูกฆ่าสังหาร (Transgender Day of Remembrance) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)ร่วมกับมูลนิธิเครือข่ายเพื่อนกะเทยเพื่อสิทธิมนุษยชน มูลนิธิเพื่อนพนักงานบริการ (SWING) และคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จึงเปิดเวทีอ่านแถลงการณ์ทางตัวแทนจากคนข้ามเพศคนที่มีความหลากหลายทางเพศ ครอบครัว เครือข่ายและองค์กรภาคประชาสังคมที่ทำงานในประเด็นส่งเสริมสิทธิมนุษยชนของกคนข้ามเพศ คนที่มีความหลากหลายทางเพศ พร้อจัดเสวนา Remembrance to Changes สะท้อนภาพครอบครัวเป็นจุดเริ่มต้นของพลังการยอมรับและทลายความเกลียดชังต่อคนข้ามเพศและคนที่มีความหลากหลายทางเพศ
ซึ่งตัวแทนมีทั้งกลุ่มผู้ปกครองของคนข้ามเพศ และชาว LBGT ที่มีความหลากหลายทางเพศเข้าร่วมแลกเปลี่ยน
เริ่มจากดารานักแสดงหนุ่ม “เต็งหนึ่ง” คณิศ ปิยะปภากรกูล ที่มาเล่าถึงเหตุผลการ come out หรือเปิดตัวว่าเป็น LBGT ต่อสาธารณะชน
“ผมมองเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ เพราะไม่ได้ปิดบัง และไม่คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ เพราะคุณแม่เป็นคนเชียร์เราให้ come out มาตลอด เราคุยเรื่องนี้กันตั้งแต่อายุ 25 เพราะคุณแม่ขี้เกียจตอบคำถามรอบข้าง” เขากลั้วหัวเราะ
เสริมด้วย รณิศร ปิยะปภากรกูล คุณแม่เต็งหนึ่งที่เผยความรู้สึกว่า
“คือคนรอบข้างถามเราบ่อยมากว่าลูกเราเป็นอะไร เราก็เลยอยากบอกให้เขารู้ไปเลย”
เธอบอกว่าการยอมรับสำหรับเธอไม่ใช่เรื่องยาก เพราะเป็นสิ่งที่ลูกเป็น และเขาทำแล้วมีความสุข
“มันไม่ต้องใช้ใจอะไรมากเลยนะ แค่ยอมรับและเข้าใจ มันทำทุกคนจะมีความสุข เพราะคนรอบข้างไมได้เลี้ยงเรา แต่ลูกเรานี่แหละหาให้เรากิน ฉะนั้นเราเดินไปกับลูกดีกว่าไหม”
สวนเต็งหนึ่งเล่าว่าอีกความตั้งใจที่ต้องการ Come Out ของเขาคืออยากที่จะเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับคนที่มีความหลากหลายทางเพศ ทั้งนี้เพราะอยากให้สังคมยอมรับและมองว่าพวกเขาไม่ได้แตกต่างจากคนอื่น
“ตอนเด็กเรามีภาพหรือฟังเรื่องราวคนข้ามเพศที่ชอบฆ่าตัวตาย ติดเชื้อเอชไอวี แต่เรามองว่าสมัยนี้โลกเปลี่ยนไป ไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้ว เราอยากเป็น role model ให้สังคมเห็นว่า คนที่เป็น LBGT ก็ใช้ชีวิตปกติเหมือนคนอื่น และเป็นคนที่มีคุณภาพในสังคมได้ ที่สำคัญเราสามารถเป็นตัวเองได้ ผมรู้สึกว่าคนเราแตกต่างด้วยนิสัย รสนิยม ไม่ใช่ gender เราไม่จำเป็นต้องเป็นตัวตลกในสื่อ และไม่ต้องแต่งหญิงทุกคน”
แม้ทุกวันนี้ยังต้องเจอกับคำถามเดิมๆ แต่เขาบอกว่า ตัวเขาเองมีจิตใจที่ค่อนข้างแข็งแรงมากๆ
“เพราะเรามีครอบครัว ทุกครั้งที่ผมมีปัญหา ผมจะรู้ว่ามีทัพหลังอยู่ที่บ้าน”
อีกด้านของคุณพ่อของลูกสาวข้ามเพศ “น้องโมจิ” และตัวแทนจากเครือข่ายผู้ปกครองที่มีบุตรหลานข้ามเพศ และหลากหลายทางเพศ อารี ระมิงค์วงศ์ ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในฐานะของคนเป็นพ่อว่า
“ผมไม่เกลียดลูกเลย ก็เขาเป็นลูกเรา ยอมรับว่าตอนแรกที่รู้มีตกใจบ้าง แต่เขาไม่เคยมีอะไรเสียหาย เรียนเก่ง เป็นเด็กดีและเป็นคนดีของสังคม”
แม้วันแรกที่รับรู้ก็มีความหนักใจเพราะไม่รู้ต้องเริ่มหรือปฏิบัตตัวอย่างไร แต่พอสามคนพ่อแม่ลูกได้คุยกัน เขาบอกก็ทำให้รู้สึกโล่งมาก สถานการณ์ผ่อนคลายมากขึ้น
“ผมมีลูกตอนอายุมากแล้ว ตอนเกิดเราภาวนาให้ลูกครบ 32 เขาก็สมบูรณ์ครบแล้ว ผมยังต้องการอะไรอีกละ เพราะฉะนั้นลูกอยากเป็นอะไร เป็นเลย แต่สิ่งที่เราปลูกฝังคือเขาต้องใช้ชีวิตในทางที่ถูกที่ควร เป็นคนมีความอดทน เพราะเป็นคุณสมบัติที่มนุษย์ทุกคน ทุกเพศขาดไม่ได้”
อีกเสียงสะท้อนของ คุณแม่ของลูกสาวข้ามเพศผู้มีความบกพร่องทางการได้ยิน มณฑา สาช่อฟ้า
เล่าว่าที่บ้านของเธอจะครอบครัวที่พร้อมเสมอในการคอยเป็นฝ่ายซัพพอร์ต ไม่ว่าน้องจะประสบอะไรมา
“เราบอกเขาอยากเป็นอะไรก็เป็น บอกปุ๊บเขาลุกมาแต่งหญิงเลย (หัวเราะ) สำหรับแม่ไม่ว่าจะเพศไหน ขอให้เขาเป็นคนดี ไม่เบียดเบียน เพศไหนก็เป็นได้ แต่ยอมรับมีบ้างที่เราพยายามเกลี้ยกล่อมเขาไม่อยากให้เป็นกะเทย เพราะเรามองว่าคนเพศนี้ความรักแท้ไม่มีจริง เรากลัวลูกจะโดนหลอกมากกว่า”
เหตุผลดังกล่าว ดูจะสอดคล้องกับข้อมูลจาก อัจฉราภรณ์ ทองแฉล้ม ผู้ประสานงานโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับเครือข่ายครอบครัวที่มีบุตรหลานหลากหลายเพศที่เผยว่า
“ตั้งแต่เราทำโครงการนี้มา สิ่งที่พ่อแม่ส่วนใหญ่สะท้อน คือ มันทำให้เขารู้สึกว่าเขาไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป เคยมีน้องคนหนึ่งอินบ็อกซ์เข้ามาว่า หนูจะคุยกับพ่อแม่อย่างไร เขาเป็นทุกข์มาก เราจึงตัดสินใจที่จะทำเรื่องนี้”
เธอบอกว่าโดยส่วนใหญ่แล้ว พ่อแม่ ผู้ปกครองไม่ได้มีปัญหาเพราะลูกเป็น LBGT แต่ปัญหามักเกิดจากคนรอบข้างและสังคมที่เป็นแรงกดดันให้เขาไม่สามารถพูดเรื่องเหล่านี้ออกมาได้
“ส่วนใหญ่พ่อแม่รู้ว่าลูกเป็น แต่เขาไม่มีบริการที่จะทำให้เขามีความรู้ หรือปรับตัวอย่างไรให้เหมาะสม ต้องทำอย่างไร พ่อแม่ส่วนใหญ่ไม่ได้ห่วงว่าลูกจะเป็น แต่เขาห่วงว่าลูกของเขามีความยากลำบากในการใช้ชีวิต เช่น ถูกเพื่อนแกล้งที่โรงเรียนไหม เขาจะไม่มีโอกาสเท่าเทียมในที่ทำงาน หรือถูกกีดกันการรับเข้าทำงาน ทำให้เขาถึงกลับมาควบคุมลูก ให้อัตลักษณ์ทางเพศของลูกลดลง เพื่อปกป้องลูกให้ปลอดภัยในสังคม” อัจฉราภรณ์เอ่ย
ดังนั้นเรื่องแรกที่ทางโครงการฯ ได้จัดทำ คือการถอดประสบการณ์ของพ่อแม่แต่ละคนที่หลากหลายมาเป็นคู่มือให้กับพ่อแม่ที่กังวลเรื่องนี้ ที่อย่างน้อยก็มีแนวทางในการดูแลบุตรหลานที่เป็น LBGT
“เราจะมีแนะนำตั้งแต่การเริ่มต้นคุยกับลูกอย่างไร หรือการไปเจอระบบบริการที่มีความหลากหลายทางเพศ บริการให้ฮอร์โมน จนถึงการพบจิตแพทย์สร้างความเข้าในร่วมกัน”
ภรณี ภู่ประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ สสส. เอ่ยว่า ในบทบาทของ สสส.ที่ดูแลเรื่องสุขภาวะทุกมิติของคนไทย ยังมีความปรารถนาที่จะเป็นองค์กรที่เข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาวะของคนทุกกลุ่ม แม้แต่คนที่ถูกละเลยหรือมองข้ามในสังคม เพียงเพราะเพศสภาพว่า สำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ (สำนัก 9) จึงเห็นความสำคัญและเป็นอีกหนึ่งพลังสนับสนุนที่อยากมีส่วนเข้ามาร่วมขับเคลื่อนเรื่องนี้ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางสังค เสริมสร้างสุขภาวะที่ดี
“เพราะเราเห็นความสำคัญในด้านสุขภาวะของคนไทยทุกคน ไม่เว้นแม้แต่บุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ ที่เราพบว่าเป็นกลุ่มที่มีทั้งความเปราะบางและมีความเสี่ยงต่อการเข้าไม่ถึงโอกาสทางด้านบริการสุขภาพ ซึ่งข้อมูลจาก Journal of Child and Adolescent Psychiatric Nursing (2010) พบว่าเด็กที่มีความหลากหลายทางเพศที่ไม่ได้รับการยอมรับจากพ่อแม่ มีความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายสูงกว่าเด็กทั่วไปถึง 8 เท่า และเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้ามากกว่า 6 เท่า เราจึงอยากทำงานร่วมกับภาคี ที่ร่วมกันพยายามออกแบบกระบวนการทำงานให้มีความละเอียดขึ้น ซึ่งแนวทางลดปัญหาในเรื่องนี้ เราพบตัวแปรสำคัญคือ ครอบครัวเพื่อน และคนใกล้ชิด โดยเฉพาะครอบครัวมีความสำคัญมาก”
สำหรับครอบครัวจะเข้ามาร่วมแก้ปัญหานี้อย่างไรนั้น ภรณีมองว่าครอบครัวเป็นเสาหลักสำคัญที่ช่วยเพิ่มการมองเห็นคุณค่าในตัวเองของลูกหลานที่มีความหลากหลายทางเพศ ซึ่งตัวครอบครัวเองก็ต้องปรับทัศนคติ ปรับเปลี่ยนวิธีคิด การเติมในเรื่องความรู้ความเข้าใจเป็นส่วนสำคัญ
ซึ่งจากชุดคำแนะนำเบื้องต้นที่ สสส.และภาคีจัดทำนี้ยังได้รับการออกแบบเพื่อเป็นไกด์ไลน์ให้ผู้ปกครองที่ประสบปัญหา โดยนำประสบการณ์ของผู้ที่มีลูกหลานเป็นบุคคลหลากหลายทางเพศ รวมถึงผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพื่อกลั่นกรองให้คำแนะนำถูกต้องเหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย









