รัฐบุรุษ “พล.อ.เปรม” กับความมั่นคงพลังงานไทย

รัฐบุรุษ “พล.อ.เปรม” กับความมั่นคงพลังงานไทย

 

จุดกำเนิดความมั่นคงทางด้านพลังงานของไทย ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปตท. มีบทบาทสำคัญนับจากก่อตั้ง ในปี 2521 ภายใต้แนวคิดของรัฐบาลที่จะต้องสร้างกลไกที่เข้มแข็งเข้ามาดูแลธุรกิจปิโตรเลียมของประเทศ เพื่อไม่ให้กระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ

กระทั่งได้ประจักษ์ต่อสายตาประชาชนไทยในวันที่ 12 กันยายน 2524 เมื่อ “พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” นายกรัฐมนตรี ให้เกียรติเป็นประธานประกอบพิธีเปิดวาล์สส่งก๊าซธรรมชาติ ณ สถานีส่งก๊าซชายฝั่งของ ปตท. เพื่อใช้ประโยชน์ในการผลิตกระแสไฟฟ้า ป้อนเป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) ทดแทนการนำเข้าน้ำมันเตาจากต่างประเทศ

จนเกิดสโลแกนโด่งดัง “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ในอ่าวมีก๊าซ” หรือที่รู้จักกันในยุค “โชติช่วงชัชวาล” หลังค้นพบก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย และพัฒนานำทรัพยากรก๊าซขึ้นมาใช้ประโยชน์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้สำเร็จ เกิดอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น โรงแยกก๊าซ อุตสาหกรรมปิโตรเคมี โครงการอีสเทิร์น ซีบอร์ด การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รอบๆเมือง และการก่อสร้างศูนย์การค้า ที่สร้างมูลค่าต่อเศรษฐกิจมหาศาล จนไทยถูกยกย่องให้เป็น 1 ใน 5 เสือเอเชีย

รัฐบุรุษ “พล.อ.เปรม” กับความมั่นคงพลังงานไทย

สมัยนั้น “พล.อ.เปรม” เป็นกรรมการ ปตท.ชุดแรก ที่มีพล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เป็นประธาน หลังจากนั้นในระหว่างเดือนมีนาคม 2524 จนถึงเดือนมีนาคม 2526 เป็นประธานกรรมการ ปตท. ซึ่งเป็นช่วงที่ ปตท.กำลังเริ่มวางท่อก๊าซธรรมชาติและเตรียมการสำหรับโครงการก่อสร้างโรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 1 เพื่อเป็นการเร่งรัดพัฒนาก๊าซธรรมชาติขึ้นมาใช้เป็นประโยชน์ และให้ประโยชน์จากการค้นพบก๊าซธรรมชาติลงไปถึงมือประชาชนในชนบทด้วย

จากพัฒนาการใช้ประโยชน์จากก๊าซธรรมชาติ ของ ปตท. เริ่มปรากฎรูปธรรมชัดเจน เมื่อผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมหลายรายสนใจศึกษาการใช้ประโยชน์จากก๊าซธรรมชาติในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเมื่อปี 2524 บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด เป็นบริษัทเอกชนรายแรกที่ตัดสินใจซื้อก๊าซธรรมชาติกับ ปตท.เพื่อนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงในโรงงาปูนซิเมนต์ ตำบลท่าหลวง อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และโรงงานปูนซิเมนต์ อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี โดยลงทุนก่อสร้างท่อย่อยส่วนขยายเพิ่มเติมเชื่อมต่อกับท่อประธานบริเวณอำเภอบางพลี จังหวัดสุมทรปราการ หลังจากนั้นโรงงานอุตสาหกรรม ที่อยู่ตามแนวท่อได้ทยอยเปลี่ยนมาใช้ก๊าซธรรมทดแทนเชื้อเพลิงชนิดอื่นๆ อีกทั้งใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเพิ่มขึ้น

รัฐบุรุษ “พล.อ.เปรม” กับความมั่นคงพลังงานไทย

ความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ ปตท.เพิ่มการจัดหาก๊าซธรรมชาติ โดยทำการวางท่อก๊าซฯใต้ทะเลต่อเชื่อมแปลงสัมปทานต่างๆ ในอ่าวไทย จนมีกำลังผลิตก๊าซฯเพิ่มขึ้น และ ปตท.มีแผนส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับโรงงานอุตสาหกรรมเพื่อใช้ทดแทนเชื้อเพลิงอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง รวมถึง ปตท.ยังส่งเสริมพัฒนาตลาดก๊าซฯของโรงงานในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล จัดส่งก๊าซฯไปป้อนเป็นเชื้อเพลิงทดแทนเชื้อเพลิงอื่น และบรรเทาปัญหามลภาวะที่เกิดจากการเผาไหม้น้ำมันเตา โดยเริ่มดำเนินในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมบางปู และบางปูใหม่ ก่อนขยายผลไปยังนิคมฯต่างๆ

นอกจากนี้ ปตท.ยังริเริ่มทดลองนำก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) มาทดลองใช้กับรถโดยสารองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.)  ซึ่งเป็นเพลิงที่สะอาดและไม่ก่อให้เกิดมลพิษมาใช้กับรถยนต์ เพื่อทดแทนน้ำมันดีเซลในปี 2527 นับเป็นจุดเริ่มต้นการใช้ NGV ในภาคขนส่งอื่นๆต่อไป และสำหรับการขนส่งในภาคประชาชนทั่วไปเริ่มนำ NGV มาใช้ช่วงหลังปี 2540

จวบจนวันที่ 7 พฤศจิกายน 2527 ได้ทดลองเดินเครื่องโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ณ ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมือง จังหวัดระยอง นับเป็นอีกบทบาทสำคัญของ ปตท.ที่เป็นแกนนำผลักดันให้เกิดโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเลียมบริเวณพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก ในขณะนั้น “พล.อ.เปรม” เป็นประธานคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก และมอบหมายให้ ปตท.เป็นแกนกลางในการก่อตั้งอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นต้น เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ภาคเอกชนที่เข้าร่วมโครงการ

รัฐบุรุษ “พล.อ.เปรม” กับความมั่นคงพลังงานไทย

การก่อสร้างโรงแยกก๊าซฯเพื่อนำก๊าซฯ ไปผ่านกระบวนการแยกก๊าซฯ ให้ได้ผลิตภัณฑ์ในรูปก๊าซต่างๆ ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในรูปแบบที่หลากหลายมากขึ้น จึงเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่ทำให้เกิดการพัฒนาและลงทุนในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ซึ่งเป็นการเพิ่มคุณค่าของการใช้ก๊าซฯให้ได้ประโยชน์ยิ่งขึ้น และยังสามารถทดแทนการนำเข้าผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีต่างๆได้จำนวนมาก จนเกิดพัฒนาอุตสาหกรรมต่อเนื่อง

ส่วนโครงการต่อเนื่องที่เกิดภายหลังคือ โครงการพัฒนาตลาดก๊าซหุงต้ม หรือ LPG ซึ่งประกอบด้วยการสร้างคลัง LPG ในภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ และมีการขายส่งราคาเดียวกัน ณ คลังทุกแห่ง โดยรัฐบาลขณะนั้นก็ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพราะเป็นการกระจายประโยชน์จาก๊าซธรรมชาติไปสู่ประชาชนในชนบทอย่างทั่วถึง เนื่องจาก ปตท.ทำให้ระบบการขนส่งLPG ไปจต่างจังหวัดราคาถูกลง ยิ่งกว่านั้นยังช่วยลดการตัดไม้ทำลายป่า เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในชนบทด้วย

นับเป็นเวลากว่า 40 ปีแล้ว ปตท. ได้ทำหน้าที่เป็นองค์กรของรัฐ ในฐานะบริษัทน้ำมันแห่งชาติอย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นการทำธุรกิจปิโตรเลียมให้ครบวงจร หรือเป็นแกนนำลงทุนในอุตสาหกรรมปิโตรเลียมอย่างต่อเนื่อง ในอนาคตภารกิจเหล่านี้จะยังเดินหน้าต่อไปเพื่อความมั่นคงทางด้านพลังงานของไทย

รัฐบุรุษ “พล.อ.เปรม” กับความมั่นคงพลังงานไทย

ทว่า ปตท.จะกลายเป็นองค์กรที่แข็งแกร่งในทุกวันนี้ จะเกิดขึ้นไม่ได้หากขาดวิสัยทัศน์การขับเคลื่อนสำคัญของผู้นำประเทศในอดีต จึงควรค่าที่ประชาชนไทยจะจดจำ “พล.อ.เปรม” รัฐบุรุษ ด้านพลังงานที่สร้างคุณประโยชน์ต่อประเทศมหาศาล คือบทบาทสำคัญของ “พล.อ.เปรม” ที่มีต่อวงการพลังงานไทย