ภาษีรถทรัมป์ ‘ให้ผลย้อนศร’ จากสร้างงาน กลับทำลายงาน? ค่ายรถอเมริกัน ‘เลือดไหลไม่หยุด’

‘ภาษีทรัมป์’ ที่ตั้งใจจะปกป้องแรงงานและฟื้นฟูอุตสาหกรรมรถอเมริกัน กำลังกลายเป็น ‘ดาบสองคม’ ที่ย้อนมากระทบเศรษฐกิจของตนเอง เมื่อค่ายรถยักษ์สูญรายได้หลายพันล้าน ขณะที่ซัพพลายเออร์รายย่อยต้องแบกต้นทุนพุ่งสูง จนบางรายล้มละลาย ความพยายาม ‘สร้างงานในอเมริกา’ กำลังกลายเป็น ‘ลดงานในอเมริกา’ อย่างที่ไม่มีใครคาดคิดหรือไม่
ในภาพฝันปธน.ทรัมป์ที่ใช้ “ภาษีนำเข้า” เป็นเครื่องมือฟื้นฟูอุตสาหกรรมรถยนต์อเมริกัน ด้วยการกระตุ้นให้เกิด “การย้ายฐานผลิตกลับบ้าน” แล้วจะนำมาสู่การจ้างงานใหม่ในประเทศ แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้น กลับออกมา “ตรงกันข้าม” แทน ภาษีนี้ได้สร้างความปั่นป่วนทั้งระบบ จนกระทบต่อความอยู่รอดตั้งแต่ค่ายรถยักษ์ใหญ่ไปจนถึงผู้ผลิตชิ้นส่วนรายย่อยในสหรัฐ
เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา บริษัท Team 1 Plastics ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ในรัฐมิชิแกน ได้สั่งซื้อเครื่องฉีดพลาสติกจากญี่ปุ่นในราคา 300,000 ดอลลาร์ แต่ตอนที่เครื่องส่งมาถึง ราคากลับ “เพิ่มขึ้น 15%” เป็น 345,000 ดอลลาร์ เพราะผลจากภาษีนำเข้าของทรัมป์
แกรี กริกาวสกี รองประธานบริษัทเล่าว่า “เงินจำนวนนี้ถือว่าสูงมาก” ซึ่งเป็นต้นทุนจริงที่บริษัทต้องแบกรับเพิ่ม และต้องหาทาง “เอาคืน” หรือชดเชยกลับมา เช่น โดยการขึ้นราคาสินค้าหรือหั่นต้นทุนอื่น
ขณะเดียวกัน สามบริษัทยักษ์ใหญ่ของสหรัฐที่เรียกว่า “The Big Three” ได้แก่ Ford, General Motors (GM) และ Stellantis ต่างคาดว่าในปีนี้ พวกเขาจะสูญเสียเงินรวมกันราว 7 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 2.2 แสนล้านบาท จากผลกระทบของภาษีนำเข้า
ขณะที่บริษัทซัพพลายเออร์นับพันรายที่ส่งชิ้นส่วนให้พวกเขา ก็กำลังระส่ำระสายจากห่วงโซ่อุปทานที่ถูกรบกวน กระแสเงินสดลดลง และต้นทุนวัตถุดิบที่แพงขึ้น
- อุตสาหกรรมยานยนต์ (ภาพ: Shutterstock) -
หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์รายงานว่า ผลกระทบเหล่านี้มองเห็นได้ชัดเจนในรัฐมิชิแกน ซึ่งเป็น “หัวใจของอุตสาหกรรมรถยนต์อเมริกา” และมีบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนมากกว่า 1,000 แห่ง ตั้งแต่ชิ้นส่วนใหญ่ๆ อย่างระบบส่งกำลัง หรือพวงมาลัย ไปจนถึงอุปกรณ์เล็กๆ อย่างที่ปัดน้ำฝนและมือจับประตู
จิม ฟาร์ลีย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Ford กล่าวเมื่อเดือนที่แล้วว่า “นี่คือภาระต้นทุนขนาด 2 พันล้านดอลลาร์ ที่จำกัดความสามารถของเราที่จะลงทุนต่อในอนาคต” ซึ่งหมายถึงว่าเงินในการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ หรือขยายการผลิต อาจต้องถูกหั่นลง
ขณะที่ลิซา ลันส์ฟอร์ด ซีอีโอของบริษัท GS3 ซึ่งผลิตชิ้นส่วนอะลูมิเนียมและเหล็กกล้า กล่าวเสริมอย่างตรงไปตรงมาว่า
“ตอนนี้อุตสาหกรรมรถยนต์กำลัง ‘เลือดออก’ อยู่ และคำถามคือ ถ้าพวกเขาไม่รอด แล้วคนอย่างพวกเราจะเหลืออะไร?”
นี้กำลังสะท้อนว่า ภาษีของทรัมป์ได้สร้าง “ภาระใหญ่” ให้กับผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ ซึ่งส่งผลต่อเนื่องมายังผู้ผลิตชิ้นส่วนทั้งหมดในห่วงโซ่อุตสาหกรรม เมื่อบริษัทรถใหญ่กำลังสูญเสียกำไรและลดการลงทุน ผู้ผลิตรายเล็กก็อาจ “อยู่ไม่รอด” ไปพร้อมกัน ภาพรวมจึงเหมือนระบบทั้งหมดกำลัง “เสียเลือดพร้อมกันทั้งห่วงโซ่”
ภาษี ‘สร้างงาน’ ทรัมป์ กลับเร่ง ‘ลดงาน’ ในมิชิแกน?
สำหรับหนึ่งใน “ผู้ได้รับผลกระทบ” ของนโยบายภาษีศุลกากรใหม่คือ บริษัท AlphaUSA ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองดีทรอยต์ ผลิตชิ้นส่วนโลหะละเอียดสูง โดยประธานบริษัทชื่อชัค ดาร์ดาส เล่าว่า บริษัทต้องแบกรับต้นทุนเพิ่มเดือนละ 250,000 ดอลลาร์ (ราว 8 ล้านบาท) เพราะต้องจ่ายภาษี 50% สำหรับน็อตเหล็กที่นำเข้าจากไต้หวัน
จำนวนเงินดังกล่าวถือเป็นภาระมหาศาลสำหรับบริษัทที่มีรายได้ต่อปีเพียง 65 ล้านดอลลาร์ ดาร์ดาสจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดว่า “นี่คือเรื่องของความอยู่รอดสำหรับบริษัทขนาดเรา”
จากเดิมที่บริษัทอาจมีกำไรบางส่วนจากการผลิตชิ้นส่วนโลหะ ภาษีนี้กลับ “กัดกินส่วนกำไร” และยังเสี่ยงให้บริษัท “ขาดทุน” เพราะไม่สามารถผลักภาระไปยังลูกค้าได้เต็มที่
ขณะเดียวกัน บางบริษัทก็ล้มไปแล้ว เช่น Marelli จากญี่ปุ่น ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์รายใหญ่ของค่ายรถ Stellantis และ Nissan โดยได้ยื่นขอล้มละลายในรัฐเดลาแวร์เมื่อเดือนมิถุนายน ซึ่งซีอีโอของบริษัทระบุว่า “ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากภาษีของสหรัฐ”
ในฝั่งภาคการเมือง แม้ว่าเกรตเชน วิทเมอร์ ผู้ว่าการรัฐมิชิแกน จะเห็นด้วยบางส่วนกับแนวคิดของทรัมป์ในการ “ปกป้องงานคนอเมริกัน” แต่เธอก็แสดงความเสียใจต่อ “ความไม่แน่นอนที่เกิดจากภาษี” ซึ่งทำให้หลายบริษัทเริ่มชะลอการลงทุน หรือแม้กระทั่งพิจารณาย้ายฐานการผลิตออกนอกประเทศ
เธอกล่าวอย่างประชดประชันว่า “นี่ช่างย้อนแย้งอย่างอันตราย ความวุ่นวายจากภาษีระดับประเทศกำลังทำสิ่งตรงข้ามกับเป้าหมายของรัฐบาล เพราะตอนนี้บริษัทกำลัง ‘ลดงาน’ แทนที่จะ ‘สร้างงาน’ ในรัฐมิชิแกน”
ซัพพลายเออร์โอด ต้องจ่ายภาษีซ้ำซ้อน
ในความแปรปรวนของภาษีทรัมป์นี้ แมรี บัคไซเกอร์ ซีอีโอของบริษัทอะไหล่รถ Lucerne International กล่าวอย่างไม่พอใจว่า “อุตสาหกรรมของเราตอนนี้ก็ยุ่งเหยิงอยู่แล้ว แล้วภาษีพวกนี้ก็เหมือนมาซ้ำเติม เพิ่มความยุ่งเหยิงเข้าไปอีก”
เธอบอกว่า บริษัทของเธอต้องจ่ายภาษีสูงถึง 72.5% สำหรับสินค้าที่ผลิตในจีน แล้วนำกลับเข้ามาขายในสหรัฐ ซึ่งเป็นภาระต้นทุนมหาศาลที่ส่งผลโดยตรงต่อธุรกิจ
ในขณะนี้ บรรดาซัพพลายเออร์ (ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์) กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า สิ่งที่แย่ที่สุดของนโยบายใหม่นี้คือ ความไม่มีความชัดเจนหรือคาดการณ์ได้ว่า ภาครัฐจะเก็บภาษีกับสินค้าใดและเมื่อใด
ตัวอย่างเช่น แพท ดีอีราโม ซีอีโอของ Martinrea International ซึ่งเป็นบริษัทผลิตชิ้นส่วนรถยนต์จากแคนาดาที่มีโรงงานวิศวกรรมในรัฐมิชิแกน เล่าว่า ในเดือนสิงหาคม รัฐบาลสหรัฐประกาศเพิ่มรายการสินค้าที่ต้องเสียภาษีนำเข้าอย่างกะทันหัน โดยขยายไปครอบคลุมผลิตภัณฑ์อนุพันธ์ของเหล็กและอะลูมิเนียม ซึ่งทำให้ “ราคาสินค้าโภคภัณฑ์บางประเภทพุ่งขึ้นถึง 400%”
ดีอีราโมยังชี้ให้เห็นว่า ระบบภาษีใหม่นี้เต็มไปด้วยความไม่สมเหตุสมผล และดูเหมือนต้องจ่ายภาษีซ้ำซ้อน เช่น บริษัทของเขาหลอมเหล็กกล้าไร้สนิมในรัฐอินเดียนา (ซึ่งเป็นสินค้าที่ผลิตในสหรัฐเอง) แล้วส่งไปยังแคนาดาเพื่อนำไปขึ้นรูปเป็นท่อ
แต่เมื่อนำกลับเข้ามาในสหรัฐอีกครั้ง กลับต้องจ่ายภาษีทั้งสำหรับเหล็กที่ผลิตในอเมริกาเอง และสำหรับท่อที่ขึ้นรูปจากแคนาดาอีกชั้นหนึ่ง
เขาจึงกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “มีความสับสนและช่องโหว่ในระบบอยู่มากจริง ๆ”
ไม่เพียงเท่านั้น เหล่าบริษัทซัพพลายเออร์รถยนต์ ก็กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากมาก เพราะต้อง “สำรองจ่าย” ภาษีนำเข้าเองก่อน แล้วค่อยรอให้ลูกค้า ซึ่งก็คือบริษัทรถยนต์รายใหญ่คืนเงินภายหลัง
ขั้นตอนนี้จึงทำให้เงินสดหมุนเวียนของบริษัทซัพพลายเออร์หายไปไม่น้อย และทำให้ต้นทุนเงินทุนหมุนเวียน เพิ่มขึ้นอย่างมาก เพราะต้องจ่ายออกก่อนโดยไม่ได้รับเงินเข้าทันที
ตัวอย่างเช่น บริษัท AlphaUSA ที่ประธานคือ ชัค ดาร์ดาส กำลังเจรจากับลูกค้า (ค่ายรถ) เพื่อขอให้ช่วยชดเชยต้นทุนภาษีบางส่วนที่บริษัทต้องจ่ายไปเอง
แต่ปัญหาคือ บริษัทรถยนต์บางรายปฏิเสธที่จะจ่ายคืนทั้งหมด หรือชดเชยเพียงบางส่วนเท่านั้น
ดาร์ดาสจึงพูดอย่างสิ้นหวังว่า “ผมคงไม่ได้มานั่งคุยกับคุณแบบนี้ในปีหน้าแน่ ถ้าเราไม่ได้รับเงินชดเชยคืน” ซึ่งหมายถึง ถ้าบริษัทยังไม่ได้รับเงินคืนจากลูกค้า บริษัทอาจต้องปิดกิจการหรือล้มละลายในไม่ช้า
ต้นทุนผลิตในประเทศแพง ยากจะแข่งในเวทีโลก
ในอีกด้านหนึ่ง บริษัทรถยนต์รายใหญ่บางรายได้พยายาม “กดดัน” ซัพพลายเออร์ (ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถ) ให้หันมาใช้วัตถุดิบและชิ้นส่วนที่ผลิตในสหรัฐมากขึ้น เพื่อช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าและหลีกเลี่ยงภาษี
แต่ในความเป็นจริงนั้น กลับ “ทำได้ยาก” เพราะต้นทุนการผลิตในประเทศสูงกว่ามาก โดยชัค ดาร์ดาสจากบริษัท AlphaUSA เล่าว่า เขาได้ติดต่อผู้ผลิต “น็อตเหล็ก” ในสหรัฐหลายราย เพื่อพยายามหามาแทนของเดิมจากไต้หวัน
แต่พบว่า “เกือบทุกครั้ง ราว 99.9% ของกรณี” ราคาที่ผู้ผลิตในสหรัฐเสนอมา “สูงกว่า” ของไต้หวัน แม้จะรวมภาษีนำเข้าแล้วก็ตาม นี่สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การผลิตภายในสหรัฐ ยังไม่สามารถแข่งขันได้ในเชิงต้นทุน ยิ่งหากต้องแข่งกับจีนในตลาดโลก ก็ยิ่งเสียเปรียบ
ขณะเดียวกัน แกรี กริกาวสกี จากบริษัท Team 1 Plastics ก็เจอปัญหาเดียวกัน เขากล่าวว่าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องซื้อเครื่องฉีดพลาสติกจากญี่ปุ่นมูลค่า 345,000 ดอลลาร์ เพราะ “กว่า 70%” ของเครื่องฉีดพลาสติกในตลาดสหรัฐ “เป็นสินค้านำเข้า” ซึ่งสะท้อนว่าสหรัฐยังไม่มีฐานการผลิตเพียงพอจะผลิตเครื่องจักรเหล่านี้เอง
ส่วนบริษัทเล็ก ๆ ยิ่งได้รับผลกระทบหนักกว่า เพราะรับแรงสั่นสะเทือนโดยตรงจากต้นทุนที่พุ่งขึ้น
ตัวอย่างคือ คาร์ริน แฮร์ริส หัวหน้าบริษัท Blitz Proto ซึ่งเป็นธุรกิจขนาดเล็กรับผลิตต้นแบบสินค้า ที่เมืองฟาร์มิงตัน ฮิลส์ รัฐมิชิแกน
เธอบอกว่า ราคาชิ้นส่วนสแตนเลสที่ใช้ “เพิ่มขึ้นถึง 21%” ระหว่างเดือนเมษายนถึงกันยายน
และชิ้นส่วนอื่น ๆ บางรายการ “แพงขึ้นกว่า 50%” เมื่อเทียบกับก่อนมีภาษี
ยิ่งไปกว่านั้น ภาษีศุลกากรที่ไม่นิ่งและแปรปรวนสูง ทำให้การวางแผนต้นทุนทำได้ยาก อย่างบริษัท Blitz Proto ของคาร์ริน แฮร์ริส ที่ก่อนหน้านี้สามารถให้ใบเสนอราคากับลูกค้าได้ล่วงหน้า 30 วัน
แต่ตอนนี้ เธอต้องเปลี่ยนนโยบายให้ใบเสนอราคาหมดอายุภายใน 7 วันเท่านั้น เพราะต้นทุนวัสดุและชิ้นส่วน “เปลี่ยนแปลงแทบทุกวัน” จากความผันผวนของภาษีนำเข้า
เธอกล่าวว่า “ตอนนี้ เราไม่มีทางคำนวณราคาที่แน่นอนได้เลย เพราะต้นทุนเปลี่ยนตลอดเวลา”
นักเศรษฐศาสตร์เตือน ภาษีดันราคารถพุ่ง 9.6%
เกเบรียล เออร์ลิช นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยมิชิแกนคาดการณ์ว่า ราคารถยนต์ทั้งที่ผลิตในประเทศและนำเข้า “จะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 9.6%” ภายในช่วงหลายปีข้างหน้า ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ห่วงโซ่อุปทานต้องใช้ในการ “ปรับตัว” ให้เข้ากับโครงสร้างภาษีใหม่ของทรัมป์
เขาระบุว่า หากอ้างอิงราคาของปี 2024 การขึ้นภาษีนี้จะทำให้ราคารถยนต์เฉลี่ยเพิ่มขึ้นประมาณ 4,500 ดอลลาร์หรือราว 140,000 บาทต่อคัน โดยสมมติว่าอัตรากำไรของบริษัทผู้ผลิตยังคงเท่าเดิม ไม่ได้ถูกปรับขึ้นหรือลง
นอกจากนี้ เออร์ลิชยังคาดว่า ภาษีจะส่งผลให้การผลิตรถยนต์ในประเทศ “ลดลงปีละราว 313,000 คัน” หรือประมาณ 3.1% ต่อปี โดยยอดขายรถยนต์ (โดยเฉพาะรถยนต์ขนาดเล็ก) จะลดลงเกือบ 780,000 คันต่อปี และยอดส่งออก จะหายไปอีกราว 320,000 คันต่อปี
เขาอธิบายว่า ต้นเหตุสำคัญของการเพิ่มต้นทุนคือ ภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม ซึ่งเป็น “วัตถุดิบหลัก” ของการผลิตรถยนต์และรถบรรทุกเบา
ขณะเดียวกัน บรรดาผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ ก็เริ่มรู้สึก “เหนื่อยล้า” กับวิกฤติต่อเนื่องหลายปี ซึ่งแพต ดีอีราโม ซีอีโอของบริษัท Martinrea ซึ่งเป็นบริษัทผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ กล่าวด้วยน้ำเสียงท้อใจว่า
“เมื่อไหร่เราจะได้พักบ้าง? เราสู้มา 5 ปีติด ทั้งโรคระบาด ทั้งซัพพลายเชนพัง ทั้งยอดขายตก และตอนนี้ยังต้องเจอภาษีอีก กำไรของเราหดลงทุกปี”







