‘คริสตาลินา’ แนะ อาเซียน – ไทย สร้างพื้นที่การคลัง หนีกับดัก ‘โตต่ำหนี้สูง’

‘คริสตาลินา’ แนะ อาเซียน – ไทย สร้างพื้นที่การคลัง หนีกับดัก ‘โตต่ำหนี้สูง’

IMF แนะ 3 แนวทางให้ชาติอาเซียนรวมถึงไทย แก้ปัญหากับดักเศรษฐกิจ "โตต่ำแต่หนี้สูง" ข้อแรกคือ การ "สร้างพื้นที่ทางการคลัง" (Build fiscal space)  ข้อที่สองคือ "สร้างพื้นฐานที่มั่นคงเพื่อการเติบโต" (Provide better foundation for growth) โดยเปิดพื้นที่ให้ภาคเอกชนเข้ามามีบทบาท และแข่งขันมากขึ้น ข้อสุดท้ายคือ "ส่งเสริมการค้าระหว่างกัน" ในภูมิภาคอาเซียนให้มากขึ้น 

KEY

POINTS

  • IMF แนะ 3 แนวทางให้ชาติอาเซียนรวมถึงไทย แก้ปัญหากับดักเศรษฐกิจ "โตต่ำแต่หนี้สูง"
  • ข้อแรกคือ การ "เพิ่มพื้นที่ทางการคลัง" (Build fiscal space) 
  • ข้อที่สองคือ "สร้างพื้นฐานที่มั่นคงเพื่อการเติบโต" (Provide better foundation for growth) โดยเปิดพื้นที่ให้ภาคเอกชนเข้ามามีบทบาท และแข่งขันมากขึ้น
  • ข้อสุดท้ายคือ "ส่งเสริมการค้าระหว่างกัน" ในภูมิภาคอาเซียนให้มากขึ้น 

ช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศในกลุ่มอาเซียนจำนวนหนึ่งเผชิญกับปัญหา “Low Growth, High Debt” หรือการเติบโตเศรษฐกิจอยู่ในระดับต่ำแต่หนี้กลับสูง จากความท้าทายภายในประเทศ และจากต่างประเทศ เพื่อออกจากกับดักดังกล่าว นางคริสตาลินา กอร์เกียวา กรรมการจัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ให้สัมภาษณ์พิเศษกับกรุงเทพธุรกิจ ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประเทศสหรัฐอเมริกา ในช่วงการประชุม IMF-WBG Annual Meeting 2025 ว่า

‘คริสตาลินา’ แนะ อาเซียน – ไทย สร้างพื้นที่การคลัง หนีกับดัก ‘โตต่ำหนี้สูง’

 

สามคำแนะนำหนีกับดัก ‘โตต่ำหนี้สูง’

รัฐบาลของกลุ่มประเทศอาเซียนต้องทำทั้งหมด 3 อย่างเพื่อออกจากกับดักการเติบโตต่ำ และหนี้สูงคือ (1) การสร้างพื้นที่ทางการคลัง (build fiscal space) เพื่อรองรับความเสี่ยงในอนาคต (2) สร้างพื้นฐานที่มั่นคงสำหรับการเติบโต (provide better foundation for growth) ผ่านการเพิ่มพื้นที่การแข่งขันให้เอกชน (3) การค้าขายในชาติอาเซียนเพิ่มมากขึ้น

“ประเทศในอาเซียน มีความยืดหยุ่นอย่างน่าทึ่งต่อสถานการณ์เหล่านี้ แม้จะเจอกับแรงกระแทกทางเศรษฐกิจหลายระลอกในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และเราได้เห็นความพยายามอย่างมากในการสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่มั่นคง เพื่อให้ประเทศต่างๆ สามารถรับมือกับวิกฤติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้”

“เมื่อเรามองไปที่ภารกิจสำคัญที่สุด สำหรับประเทศต่างๆ ในอาเซียน สิ่งแรกคือ “การสร้างพื้นที่ทางการคลัง” เพื่อให้เมื่อประเทศเหล่านั้นต้องเผชิญกับ ความท้าทายอีกครั้ง พวกเขาจะยังคงยืนหยัดได้ และมีความยืดหยุ่นเพียงพอ”

“ต่อมาคือ การสร้างฐานรากที่มั่นคงสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ และนั่นหมายถึงการเปิดพื้นที่ให้ภาคเอกชนมีบทบาทมากขึ้น ที่ผ่านมา ภาคเอกชนได้พิสูจน์แล้วว่ามีความยืดหยุ่นสูงมาก และสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น ควรขจัดอุปสรรคที่ขัดขวางการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในระบบเศรษฐกิจ”

‘คริสตาลินา’ แนะ อาเซียน – ไทย สร้างพื้นที่การคลัง หนีกับดัก ‘โตต่ำหนี้สูง’

“ประการที่สาม คือ “การร่วมมือกัน” ภูมิภาคอาเซียนยังมีพื้นที่อีกมาก ที่จะผลักดันการบูรณาการด้านการค้า และการเงินร่วมกัน และฉันรู้สึกยินดีที่ได้เห็นประเทศต่างๆ เริ่มพูดคุยเรื่องนี้มากขึ้น”

‘ไอเอ็มเอฟ’ มองผลกระทบ ‘ภาษีทรัมป์’ ไม่มากเท่าที่คาด

มากไปกว่านั้น ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจโลกเผชิญกับความท้าทายรอบด้านแต่หนึ่งในความท้าทายที่เด่นชัดที่สุดคือการประกาศขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐ ภาษีที่สูงขึ้นนี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อประเทศในอาเซียนซึ่งพึ่งพาการส่งออกเป็นหลักอย่างประเทศไทยก็อยู่ที่ประมาณ 60-70% ของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ มิหนำซ้ำส่งออกไปสหรัฐยังคิดเป็นประมาณ 18-20% ของยอดการส่งออกทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม ในรายงานเศรษฐกิจโลก (WEO) ฉบับเดือนต.ค. 2025 ของไอเอ็มเอฟ ปรับประมาณการเศรษฐกิจโลกขึ้นจากรายงานเดิมในเดือนเม.ย.ที่มองว่าจะโตได้ 2.8% แต่รายงานฉบับล่าสุดมองว่าเศรษฐกิจโลกจะโตได้ 3.2% เนื่องจากผลกระทบจากภาษีของทรัมป์ไม่ได้รุนแรงเท่าที่ประเมินไว้ในตอนแรก

‘คริสตาลินา’ แนะ อาเซียน – ไทย สร้างพื้นที่การคลัง หนีกับดัก ‘โตต่ำหนี้สูง’

สำหรับประเด็นนี้ นางคริสตาลินา อธิบายเพิ่มเติมในการสัมภาษณ์ กับ กรุงเทพธุรกิจ ว่า สถานการณ์ที่ประเมินไว้ในเดือนเม.ย.นั้นรุนแรงกว่าปัจจุบัน ณ ตอนนั้นภาษีเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ประมาณ 23% แต่ล่าสุดกลับลดลงมาอยู่ที่ 17.5% ในขณะที่อัตราที่ประกาศใช้จริง (effective rate) อยู่ที่เพียง 9-10% ทั้งหมดมาจากการเดินหน้าเจรจาของหลายประเทศรวมทั้งจากข้อเท็จจริงที่ว่าประเทศส่วนมากไม่ขึ้นภาษีตอบโต้

“ตั้งแต่เดือนเมษายน ที่ผ่านมา หลังจากที่สหรัฐประกาศขึ้นภาษี เราพบสิ่งสำคัญอยู่สองประเด็น

หนึ่ง คือ สหรัฐกำลังเดินหน้าเจรจากับหลายประเทศตั้งแต่เดือนเม.ย. ตอนนั้นอัตราภาษีอยู่ที่ประมาณ 23% ปัจจุบันยังถือว่าสูง แต่ลดลงมาอยู่ที่ราว 17.5% และเมื่อมองจากการจัดเก็บจริง จะอยู่ที่ประมาณ 9–10%”

“ประเด็นที่สองนั้นสำคัญยิ่งกว่า คือ ประเทศต่างๆ ตัดสินใจที่จะไม่ใช้มาตรการตอบโต้ ทั่วโลก แทบไม่มีกรณีของการตอบโต้กันไปมา หรือ “tit-for-tat” มีเพียงไม่กี่กรณีเท่านั้น และนั่นคือ แนวทางที่ถูกต้อง”

“ไทยคงไม่อยากทำการค้าในโลกที่เต็มไปด้วยการตอบโต้ และมาตรการกีดกันการค้า แต่เป็นโลกที่ยังคงใช้ “การค้า” เป็นเครื่องยนต์หลักของการเติบโต ดังนั้น คำแนะนำของดิฉันต่อประเทศสมาชิกทั้งหมดคือ ยึดมั่นในแนวทางเดิม โดยเฉพาะประเทศขนาดเล็กที่มีเศรษฐกิจเปิดจะได้รับประโยชน์จากโลกที่มีกฎเกณฑ์ทางการค้าที่ชัดเจน และคาดการณ์ได้”

 

กรุงเทพธุรกิจรายงานสดจากกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์