ทรัมป์ขู่หยุดการค้าน้ำมันพืชกับจีน สงครามการค้าส่อยืดเยื้อ

ประธานาธิบดีทรัมป์ ระบุอาจยุติธุรกิจเกี่ยวกับน้ำมันพืชกับจีนตอบโต้จีนหยุดซื้อถั่วเหลืองสหรัฐ ยกระดับความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสองประเทศเศรษฐกิจใหญ่ของโลก
บลูมเบิร์ก รายงานว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ระบุว่า อาจยุติธุรกิจเกี่ยวกับน้ำมันพืชกับจีน ซึ่งเป็นการยกระดับความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสองประเทศเศรษฐกิจใหญ่ของโลก ทรัมป์กล่าวโทษว่าการที่จีนหยุดซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ ถือเป็น “การกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ทางเศรษฐกิจ” ที่สร้างความเดือดร้อนให้เกษตรกรสหรัฐฯ
ทรัมป์โพสต์ลงโซเชียลมีเดียว่า “เรากำลังพิจารณายุติธุรกิจกับจีนที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันพืช และองค์ประกอบการค้าอื่นๆ เพื่อเป็นการตอบโต้ ตัวอย่างเช่น เราสามารถผลิตน้ำมันพืชเองได้ง่ายๆ ไม่จำเป็นต้องซื้อมาจากจีน”
ดัชนี S&P 500 ซึ่งเป็นตัวชี้วัดหลักของตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาติดลบหลังจากที่ทรัมป์ออกแถลงการณ์ซึ่งทำให้ความขัดแย้งกับจีนทวีความรุนแรงขึ้นอีกครั้ง ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเพียงไม่กี่ชั่วโมง ทรัมป์และ เจมิสัน กรีเออร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ยังให้ความมั่นใจว่าสถานการณ์ตึงเครียดจะคลี่คลายลงได้ผ่านการเจรจาทางการค้าอย่างต่อเนื่อง
ในขณะเดียวกัน หุ้นของบริษัท Bunge Global SA ผู้แปรรูปเมล็ดพืชน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลกและคู่แข่งอย่าง Archer-Daniels-Midland กลับพุ่งขึ้นทันทีหลังข่าวนี้ออกมา ลบล้างการร่วงลงที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
นักลงทุนมองว่าหากสหรัฐฯ ตัดสินใจหยุดนำเข้าน้ำมันพืชจากจีน บริษัทเหล่านี้อาจได้ประโยชน์จากการผลิตและจำหน่ายในประเทศมากขึ้น
น้ำมันพืชใช้แล้ว หรือที่เรียกว่า UCO กลายเป็นประเด็นร้อนในสหรัฐฯ เมื่อปีที่ผ่านมา เนื่องจากการนำเข้าน้ำมันพืชใช้แล้วเพื่อผลิตน้ำมันดีเซลในโครงการพลังงานหมุนเวียนก่อให้เกิดความกังวลว่าเกษตรกรผู้ปลูกถั่วเหลืองในสหรัฐฯ อาจพลาดโอกาสในการขายได้มากขึ้นจากความต้องการของตลาด
การนำเข้าจากจีนพุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2024 ตามรายงานของกระทรวงเกษตรสหรัฐฯ
รัฐบาลไบเดนได้ดำเนินมาตรการเพื่อชะลอการนำเข้าสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศโดยไม่ให้มีสิทธิ์ได้รับเครดิตภาษี ทรัมป์ก็ได้ดำเนินการเช่นกันเพื่อกีดกันการใช้น้ำมันนำเข้า ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสมาคมถั่วเหลืองอเมริกันและกลุ่มเกษตรกรอื่นๆ
คำแถลงของทรัมป์ในวันอังคารนี้มีขึ้นในขณะที่เกษตรกรกำลังประสบปัญหาจากราคาพืชผลที่ตกต่ำ ในขณะที่จีนหลีกเลี่ยงการซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ รัฐบาลทรัมป์ได้ให้คำมั่นว่าจะบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ปลูกด้วยแพ็คเกจความช่วยเหลือ แม้ว่าจะถูกชะงักเนื่องจากภาวะการปิดทำการของรัฐบาลก็ตาม
อย่างไรก็ตาม เกษตรกรหลายรายย้ำว่าพวกเขาต้องการข้อตกลงการค้ากับจีนมากกว่าการรับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล
เหตุการณ์ในวันอังคารนี้แสดงให้เห็นถึงความผันผวนที่เป็นลักษณะเด่นของความสัมพันธ์สหรัฐฯ-จีนตั้งแต่ทรัมป์กลับเข้าสู่ทำเนียบขาว ซึ่งทำให้นักลงทุนกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะเกิดสงครามการค้าที่เต็มรูปแบบ กรีเออร์ ได้สร้างความหวังว่าการเจรจาภาษียังดำเนินอยู่ โดยระบุว่ามีเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่ไม่เปิดเผยชื่อจากวอชิงตันและปักกิ่งได้มีการหารือกันเมื่อวันจันทร์ และทรัมป์กับประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิง ยังมีกำหนดที่พบปะกันในปลายเดือนนี้
ทรัมป์เองก็ดูมีความหวัง แต่ยังมีท่าทีระมัดระวังต่อผลลัพธ์ที่ดีอาจเกิดขึ้นได้
“เรามีความสัมพันธ์ที่ยุติธรรมกับจีน และผมคิดว่ามันจะโอเค และถ้าไม่โอเค ก็ไม่เป็นไร” ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาวเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา “เราตีโต้ออกไปมากมาย และเราก็ประสบความสำเร็จอย่างมาก”
ด้านซีเอ็นบีซี รายงานว่าจีนเป็นผู้ซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ รายใหญ่ที่สุด โดยนำเข้าประมาณ 27 ล้านเมตริกตัน มูลค่าเกือบ 1.28 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2567 เพียงปีเดียว
แต่ท่ามกลางสงครามการค้าที่ตึงเครียดกับรัฐบาลทรัมป์ ปักกิ่งไม่ได้ซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ เลยแม้แต่ครั้งเดียวนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม
ด้วยมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้สินค้าจากสหรัฐฯ ที่ทำให้ถั่วเหลืองมีราคาแพงขึ้นสำหรับผู้นำเข้าจีน จีนจึงหันไปหาแหล่งผลิตถั่วเหลืองจากผู้ผลิตในอเมริกาใต้แทน
ขณะเดียวกัน การส่งออกน้ำมันพืชใช้แล้วของจีนก็ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2567 โดยสหรัฐฯ ครองสัดส่วนนำเข้า 43% ของการส่งออกของจีนทั้งหมด






