'ทรัมป์-แวนซ์' ผ่อนท่าทีเปิดทางดีลจีน ปักกิ่งย้ำต้องเลิกขู่จะขึ้นภาษีทุกครั้ง

สหรัฐส่งสัญญาณเปิดทางดีลการค้ากับจีน แต่ยังขู่ถือไพ่เหนือกว่า กดดันจีนเลือกให้ดีอย่าตอบโต้จนบานปลาย ด้านจีนย้ำการขู่ขึ้นภาษีทุกครั้งไม่ใช่วิธีอยู่ร่วมกับจีน
บลูมเบิร์กรายงานว่า หลังจากที่แสดงท่าทีขู่จะขึ้นภาษีจีนรอบใหม่ 100% อย่างแข็งกร้าวไปก่อนหน้านี้ ล่าสุด รัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แสดงท่าทีเปิดกว้างต่อการทำข้อตกลงกับ "จีน" เพื่อบรรเทาความตึงเครียดทางการค้ารอบใหม่ โดยย้ำว่ามาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายากที่จีนประกาศเมื่อเร็วๆ นี้ เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเจรจา
รองประธานาธิบดี เจดี แวนซ์ เรียกร้องให้ปักกิ่ง “เลือกเส้นทางแห่งเหตุผล” ในศึกการค้ารอบใหม่ที่กำลังลุกลามระหว่างสองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก โดยอ้างว่า "ทรัมป์มีอำนาจต่อรองเหนือกว่า หากความขัดแย้งยืดเยื้อ"
“มันจะเป็นการเต้นรำที่ละเอียดอ่อน และทุกอย่างจะขึ้นอยู่กับว่าจีนตอบสนองอย่างไร” แวนซ์กล่าวในรายการของ Fox News “ถ้าพวกเขาตอบโต้ด้วยท่าทีแข็งกร้าวมาก ผมรับรองได้ว่าประธานาธิบดีสหรัฐถือไพ่เหนือกว่าจีนแน่นอน แต่ถ้าพวกเขายอมใช้เหตุผล เราก็จะใช้เหตุผลเช่นกัน”
ต่อมา ทรัมป์ โพสต์ข้อความระบุเป็นนัยถึงทางออกให้ประธานาธิบดี "สี จิ้นผิง" พร้อมขู่กลายๆ ว่า "หากเกิดสงครามการค้าเต็มรูปแบบ จีนจะได้รับผลกระทบหนัก"
“ไม่ต้องกังวลเรื่องจีน ทุกอย่างจะเรียบร้อย! ประธานาธิบดีสีผู้ได้รับความเคารพอย่างสูง แค่มีช่วงเวลาที่ไม่ดีเท่านั้น เขาไม่ต้องการให้ประเทศของเขาเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ และผมก็ไม่ต้องการเช่นกัน สหรัฐอยากช่วยจีน ไม่ได้อยากทำร้าย!!!” ทรัมป์โพสต์บน Truth Social
การส่งสัญญาณล่าสุดของปธน.และรองปธน.สหรัฐ บ่งชี้ว่าสหรัฐต้องการกดดันให้จีนถอยจากมาตรการทางการค้าล่าสุด ขณะเดียวกันก็พยายามสร้างความมั่นใจต่อตลาดเงินตลาดทุนที่กำลังตื่นตระหนกว่า การตอบโต้กันไปมาจะไม่บานปลาย
ด้านนักเศรษฐศาสตร์ของโกลด์แมน แซคส์ นำโดย แจน ฮัตเซียส และแอนดรูว์ ทิลตัน ระบุในบันทึกว่า นโยบายล่าสุดของทั้งสองฝ่ายชี้ให้เห็นถึงผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ในวงกว้าง มากกว่าที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้าการประชุมสำคัญระหว่างสหรัฐ–จีน ในช่วงไม่กี่ครั้งที่ผ่านมา
“ฉากทัศน์ที่มีแนวโน้มน่าจะเป็นไปได้มากที่สุดก็คือ ทั้งสองฝ่ายจะถอยจากนโยบายที่แข็งกร้าวที่สุด และการเจรจาจะนำไปสู่การขยายเวลาระงับการปรับขึ้นภาษีที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคมออกไปอีก และอาจจะไม่มีกำหนด”
ทั้งนี้ ตลาดหุ้น น้ำมัน และคริปโทเคอร์เรนซี ทรุดหนักเมื่อวันศุกร์จากความตึงเครียดที่ปะทุขึ้นอีกครั้ง หลังโพสต์ของทรัมป์ขู่ว่าสหรัฐจะตอบโต้การที่จีนจำกัดการส่งออกแร่หายาก (แรร์เอิร์ธ) และมาตรการทางการค้าอื่นๆ อย่างไรก็ตาม สัญญาซื้อขายล่วงหน้าของสหรัฐดีดตัวขึ้นในเช้าวันจันทร์ในเอเชีย หลังจากถ้อยแถลงของทรัมป์ในวันอาทิตย์
จีนย้ำขู่ขึ้นภาษีทุกครั้งไม่ใช่วิธีอยู่ร่วมกับจีน
ก่อนหน้านั้นในวันเดียวกัน กระทรวงพาณิชย์จีนออกแถลงการณ์ระบุว่า สหรัฐควรหยุดขู่จะขึ้นภาษี และควรหันมาหารือเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการค้าที่ยังค้างอยู่
“การขู่ขึ้นภาษีทุกครั้งไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องในการอยู่ร่วมกับจีน” แถลงการณ์ระบุ “หากสหรัฐยังคงเดินตามแนวทางของตนเอง จีนจะดำเนินมาตรการตอบโต้เพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์อันชอบธรรมของตนอย่างเด็ดขาด”
กระทรวงพาณิชย์จีนยืนยันว่า จีนไม่ได้ใช้มาตรการ "ห้ามการส่งออก" แต่ย้ำว่าข้อจำกัดใหม่นี้มีเป้าหมายเพื่อป้องกันการนำแร่หายากไปใช้ทางทหาร พร้อมเสริมว่า จีนจะอนุมัติใบอนุญาตที่ผ่านเกณฑ์ และจะเร่งรัดการเจรจากับประเทศอื่น ๆ เกี่ยวกับการควบคุมการส่งออก เพื่อ "รักษาความมั่นคงและเสถียรภาพของห่วงโซ่อุตสาหกรรมและห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกให้ดียิ่งขึ้น"
นอกจากนี้ แถลงการณ์ของกระทรวงพาณิชย์จีนยังได้วิจารณ์สหรัฐ ที่ออก "มาตรการห้ามนำเข้าจากหลายบริษัทซึ่งมุ่งเป้าไปที่บริษัทจีน" ทั้งที่สองฝ่ายเพิ่งเจรจาการค้าทวิภาคีที่กรุงมาดริด ประเทศสเปน เมื่อเดือนกันยายน โดยกล่าวว่าการกระทำดังกล่าวของสหรัฐทำลายผลประโยชน์ของจีนอย่างร้ายแรง และบ่อนทำลายบรรยากาศของการเจรจา
ทั้งนี้ ความตึงเครียดปะทุขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจีนประกาศมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายากชุดใหม่ แม้บางมาตรการจะยังไม่บังคับใช้จนกว่าจะถึงเดือนพฤศจิกายน หรืออาจไม่ได้บังคับใช้อย่างเข้มงวด
ขณะที่ก่อนหน้านี้ในวันศุกร์ ทางการจีนยังได้ประกาศจะเริ่มเก็บค่าธรรมเนียมจากเรือสหรัฐที่เข้ามาเทียบท่ายังท่าเรือจีน ซึ่งเป็นการตอบโต้โดยตรงต่อกรณีที่วอชิงตันเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากเรือจีนที่เดินทางเข้าไปเทียบท่ายังท่าเรือสหรัฐ โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันเดียวกัน คือวันอังคารที่ 14 ต.ค. นี้
นักเศรษฐศาสตร์ของโกลด์แมนแซคส์ยังมองว่า มาตรการล่าสุดของจีนอาจเป็นความพยายามเรียกร้องให้สหรัฐยอมอ่อนข้อเพิ่มเติม ซึ่งอาจนำไปสู่ “ผลลัพธ์เชิงบวกต่อการตลาด” หากสหรัฐลดภาษีบางส่วน อย่างไรก็ตาม ก็มีความเสี่ยงที่ผลลัพธ์จะกลับเป็นลบ หากทั้งสองประเทศกลับมาขึ้นภาษีในระดับ “สามหลัก” อีกครั้ง







