เปิดแนวคิดพลิกโฉมเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนกับ‘เฮง สวีเกียต’

เปิดแนวคิดพลิกโฉมเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนกับ‘เฮง สวีเกียต’

กรุงเทพธุรกิจสัมภาษณ์พิเศษ เฮง สวีเกียต ประธานมูลนิธิวิจัยแห่งชาติสิงคโปร์ อดีตรองนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ในวาระปาฐกถาพิเศษ Future Forum 2025 The Great Transformation หัวข้อ Economic Transformation - for Peoples, for Planet จัดโดย สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (Thailand Management Association : TMA)

  • การเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจสิงคโปร์จากโลกที่ 3 สู่โลกที่ 1

การพบปะกันคราวนี้เกิดขึ้นหลังจากสิงคโปร์เพิ่งเฉลิมฉลองวาระ 60 ปีการก่อตั้งประเทศได้ไม่นาน อดีตรองนายกฯ กล่าวว่า บุคลิกของสิงคโปร์จากโลกที่ 3 สู่โลกที่ 1 มาจากแนวคิดของลี กวนยูที่ว่า “เราจะเปลี่ยนประเทศยากจนข้นแค้นที่เพิ่งได้รับเอกราชมาไล่ทันประเทศเศรษฐกิจก้าวหน้าได้อย่างไร” ถึงวันนี้เฮงสรุปว่า 

เศรษฐกิจสิงคโปร์เปิดกว้างอย่างมากปริมาณการค้าสูงกว่าผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี)ถึงสามเท่า ต้อนรับการลงทุนจากต่างชาติ โดยเฉพาะจากประเทศเศรษฐกิจก้าวหน้าช่วยให้สิงคโปร์ได้เรียนรู้แนวทางปฏิบัติใหม่ๆ ที่มีประสิทธิผลมากขึ้นอย่างรวดเร็ว

ความเปิดกว้างนี้ส่งเสริมสภาพแวดล้อมการแข่งขัน กระตุ้นให้บริษัทต่างๆ ยกระดับประสิทธิภาพการผลิต เฮงเน้นย้ำถึงความสำคัญของการหลีกเลี่ยงมาตรการกีดกันทางการค้าที่มากเกินไป ซึ่งอาจทำให้ค่าแรงลดลงและต้นทุนสำหรับผู้บริโภคสูงขึ้น

พร้อมกันนั้นสิงคโปร์ตระหนักถึงความเครียดจากการแข่งขัน จึงให้ความสำคัญกับสวัสดิการของแรงงานเป็นอันดับแรก สภาสหภาพแรงงานแห่งชาติ (NTUC) มีบทบาทสำคัญในการเตรียมความพร้อมแรงงานให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง ส่งเสริมการเรียนรู้ทักษะ และช่วยให้แรงงานปรับตัวเข้ากับการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ

  • พัฒนาทุนมนุษย์ลงทุนในประชาชน

สิงคโปร์โดดเด่นเรื่องทุนมนุษย์ อดีตรองนายกฯ เผยว่า การศึกษาเป็นรากฐานสำคัญของประเทศ เนื่องจากไม่มีทรัพยากรธรรมชาติต้องนำเข้าเกือบทุกอย่าง สิงคโปร์จึงต้องมุ่งเน้นการพัฒนาประชาชนซึ่งรวมถึงการลงทุนในการศึกษาของเด็กๆ คัดสรรครูผู้อุทิศตน รักษาระบบการศึกษาระดับชาติด้วยหลักสูตรที่มีโครงสร้างชัดเจนประเมินผลเป็นประจำ

ระบบนี้ให้เส้นทางการเรียนรู้ที่แตกต่างกันเพื่อให้เหมาะกับจุดแข็งต่างๆ เช่นการคิดเชิงนามธรรมเทียบกับการลงมือทำและมีความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมเพื่อให้แน่ใจว่าการศึกษาระดับสูงและอุดมศึกษาเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับงานที่จะทำในอนาคต

“ผมพูดเลยว่า มีความสุขมากที่ได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการระหว่างปี 2011-2015 มีความสุขเมื่อไปโรงเรียน ได้คุยกับครูผู้ทุ่มเทต้องการทำสิ่งที่ดีที่สุดให้กับนักเรียนทุกคน” เฮงกล่าว 

สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือ “การเรียนรู้ตลอดชีวิต” สิงคโปร์เน้นย้ำเรื่องนี้มาสิบปีแล้ว ผ่านโครงการทักษะอนาคต (SkillsFuture) สถาบันอุดมศึกษา บริษัทเอกชน และสหภาพแรงงาน (เช่น สถาบันการจ้างงานและการจ้างงานและคณะกรรมการฝึกอบรมบริษัท) จัดให้มีการศึกษาและฝึกอบรมแก่พนักงานอย่างต่อเนื่องผ่านการฝึกอบรมโดยการทำงานจริง (on-the-job training)

  • เศรษฐกิจที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง

ในมุมนี้เฮงมองว่า เศรษฐกิจเป็นเป้าหมายโดยตัวเอง แต่เป็นเครื่องมือยกระดับชีวิตประชาชนบริษัทต่างๆ ได้รับการสนับสนุนให้ปรับโครงสร้างองค์กรและริเริ่มสิ่งใหม่ๆ โดยมีสหภาพแรงงานและรัฐบาลสนับสนุนโครงการฝึกอบรมและปรับเปลี่ยนอาชีพสำหรับแรงงานที่ถูกเลิกจ้าง

แม้ตระหนักถึงประสิทธิภาพของระบบเศรษฐกิจตลาด สิงคโปร์ก็ยอมรับความเครียดที่อาจเกิดขึ้นกับปัจเจกบุคคล ดังนั้น ระบบการศึกษาผู้ใหญ่ที่แข็งแกร่งและความร่วมมือที่แข็งแกร่งระหว่างภาคอุตสาหกรรมและรัฐบาลจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการช่วยให้แรงงานได้รับการฝึกฝนและปรับตัวได้

  •  อนาคตการทำงานยุคเอไอ

เฮงเชื่อว่าเอไอไม่สามารถแทนที่มนุษย์ได้ทั้งหมดโดยเปรียบเทียบกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในอดีตที่สร้างความต้องการและโอกาสใหม่ๆ ธรรมชาติของมนุษย์จะยังคงสร้างความต้องการใหม่ๆ ต่อไป

เฮงย้ำว่ามนุษย์มีคุณภาพที่ไม่เหมือนใครจึงควรเน้นในสิ่งที่มนุษย์สามารถทำได้โดดเด่นโดยเฉพาะในสาขาที่ต้องใช้การเชื่อมต่อและความเห็นอกเห็นใจระหว่างมนุษย์ด้วยกันเช่น ความไว้วางใจระหว่างแพทย์และคนไข้

สิ่งที่ต้องไม่ลืมคือหลักจริยธรรมแม้ว่าเอไอและหุ่นยนต์จะมีข้อได้เปรียบ เช่นผ่าตัดได้อย่างแม่นยำ แต่แนวทางจริยธรรมก็มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในการจัดการความเสี่ยงและสร้างความมั่นใจว่าระบบเหล่านี้ได้รับการพัฒนาและใช้งานอย่างมีความรับผิดชอบ ขณะเดียวกันการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องโดยมนุษย์ก็มีความสำคัญเช่นกัน

  •  พลิกโฉมเศรษฐกิจโดยไม่ทำลายสภาพแวดล้อม

ในบรรดาความท้าทายต่างๆ ที่เราต้องเผชิญ เฮงคิดว่า การดูแลโลก ดูแลสิ่งแวดล้อมเป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง การเติบโตของเศรษฐกิจจึงไม่ใช่เพื่อมนุษย์เท่านั้น แต่ต้องปกป้องโลกด้วย

“ในฐานะประเทศเกาะ แค่น้ำทะเลเพิ่มสูงไม่กี่เมตร สิงคโปร์ก็ย่อยยับได้” เฮงกล่าวและว่า เช่นเดียวกับประเทศตามแนวชายฝั่งในเอเชียอีกหลายประเทศ ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงหรือน้ำท่วมจะส่งผลกระทบต่อภาคเกษตร เกิดความไม่มั่นคงทางอาหารตามมา

ดังนั้นเราจำต้องจัดการกับความท้าทายเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจัง ส่วนการเติบโตทางเศรษฐกิจพร้อมๆ กับการปกป้องสิ่งแวดล้อม ประการแรกคือต้องปฏิบัติตามหลักการ 3R ที่ได้รับการส่งเสริมมานานแล้วได้แก่ reduce (ลดใช้), reuse (นำกลับมาใช้ซ้ำ), recycle นี่คือสิ่งที่ทุกคนต้องทำ

ประการที่ 2 คือต้องลงทุนในการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อหาโซลูชันใหม่ ๆรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม เช่น ใช้พลังงานหมุนเวียนแทนพลังงานฟอสซิล และประการที่ 3 อาเซียนบางประเทศมีศักยภาพมากในการพัฒนาพลังงานหมุนเวียน ไม่ว่าจะเป็นพลังน้ำ พลังแสงอาทิตย์ หรือเทคโนโลยี ที่พัฒนาไปมากและจะพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นอาเซียนต้องร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีสีเขียว ในเวลาเดียวกันต้องหาวิธีการใหม่ๆ ในการผลิตวัสดุ เช่น วัสดุก่อสร้างอย่างซีเมนต์ ปัจจุบันมีเวอร์ชันใหม่ที่ลดคาร์บอนฟุตปรินท์ลงได้มาก

นอกจากนี้เฮงเสนอว่าเราจำเป็นต้องสนับสนุนการเงินสีเขียวสนับสนุนโครงการดีๆ ที่ช่วยลดคาร์บอนได้

“ผมหวังว่ากรีนไฟแนนซ์จะหลั่งไหลไปยังโครงการทั่วอาเซียนและภูมิภาคอาเซียน เพราะแต่ละส่วนของอาเซียนมีจุดแข็งต่างกัน เราควรใช้ประโยชน์จากสิ่งนั้น”

  •  การเรียนรู้ของคนรุ่นใหม่

คนหนุ่มสาวควรเรียนรู้สิ่งใดเพื่อประสบความสำเร็จในโลกที่ถูกกำหนดโดยเทคโนโลยีสีเขียว ทุกอย่างเป็นดิจิทัล เอไอ และต้องมีความยั่งยืน ประธานมูลนิธิวิจัยแห่งชาติสิงคโปร์ กล่าวว่า ต้องพัฒนาระบบการศึกษาต่อไป เพราะการแบ่งปันการเรียนรู้และแนวทางการปฏิบัติที่ดีเป็นสิ่งสำคัญ พร้อมกันนั้นก็ต้องกระตุ้นให้นักเรียนมีส่วนร่วมซึ่งกันและกัน เริ่มต้นจากนักเรียนรุ่นเล็กสุด วางรากฐานให้แน่น ให้เข้าใจถึงผลกระทบของพฤติกรรมมนุษย์ต่อสิ่งแวดล้อมหรือความยั่งยืนกระตุ้นให้เด็กๆสนใจและอยากรู้ว่า ฉันทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้บ้าง

การทำโครงการวิทยาศาสตร์ในโรงเรียนเพื่อให้เด็กๆ เข้าใจถึงการสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและช่วยให้พวกเขาเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ เช่น ดิจิทัล เอไอ เพื่อติดอาวุธให้พวกเขาได้งานที่ดีแล้วมีส่วนร่วมสร้างสิ่งดีๆ

“เรายินดีมากที่จะต้อนรับนักศึกษาจากทั้งภูมิภาคอาเซียนมาเรียนในสิงคโปร์ มาเรียนรู้ร่วมกัน ยินดีต้อนรับนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยของไทยและส่วนอื่นๆ ของอาเซียนมาทำวิจัยร่วมกัน มาหาวิธีรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หาวิธีใช้เทคโนโลยีให้ดีขึ้น หรือมาดูว่าเราจะจัดการกับโรคระบาดใหญ่ที่จะกลับมาอีกครั้งได้อย่างไร” ประธานมูลนิธิวิจัยแห่งชาติสิงคโปร์กล่าวเชิญชวน