ส่องพลวัตอาเซียน สองมหาอำนาจทิ้งไม่ได้

การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนและการประชุมที่เกี่ยวข้อง ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ของมาเลเซียในสัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดขึ้นท่ามกลางความปั่นป่วนในมิติการค้าและภูมิรัฐศาสตร์โลกที่ส่งผลมาถึงสมาชิกอาเซียนอย่างหลีกเลีี่ยงไม่ได้ แล้วอาเซียนและประเทศคู่เจรจาจะร่วมมือกันอย่างไรให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์
KEY
POINTS
- อาเซียนยังคงเป็นเวทีสำคัญที่มหาอำนาจอย่างสหรัฐ และจีนให้ความสำคัญ
- ทั้งสหรัฐ และจีนต่างมองอาเซียนเป็นภูมิภาคยุทธศาสตร์ โดยสหรัฐ เน้นความมั่นคง ขณะที่จีนเน้นอิทธิพลด้านการค้าและเศรษฐกิจ
- ประเทศมหาอำนาจต่างแสดงความสนใจที่จะร่วมมือกับอาเซียนในหลายมิติ
- การเข้าร่วมประชุมของเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากประเทศคู่เจรจาสะท้อนให้เห็นว่าอาเซียนยังมีบทบาทสำคัญในการสร้างสมดุลระหว่างขั้วอำนาจต่างๆ
การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนและการประชุมที่เกี่ยวข้อง ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ของมาเลเซียในสัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดขึ้นท่ามกลางความปั่นป่วนในมิติการค้าและภูมิรัฐศาสตร์โลกที่ส่งผลมาถึงสมาชิกอาเซียนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วอาเซียนและประเทศคู่เจรจาจะร่วมมือกันอย่างไรให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์
วานนี้ (16 ก.ค.) พลพงศ์ วังแพน อธิบดีกรมอาเซียน บรรยายสรุปผลการเข้าร่วมการประชุม ASEAN Foreign Ministers' Meeting and Related Meetings (AMM) / ASEAN Post Ministerial Conference (PMC) ของมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศว่า บรรยากาศการประชุมเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ แม้มีการพาดพิงกันบ้างแต่ไม่ได้รุนแรงถึงขนาดตอบโต้กันไปมา เช่น กรอบ East Asia Summit (EAS), ASEAN Regional Forum (ARF) และ ASEAN+3 ที่มหาอำนาจทั้งสองขั้วเข้าร่วม ไม่มีการเอ่ยชื่อฝ่ายตรงข้าม
สำหรับการประชุมในภาพรวมใจความสำคัญสรุปได้สองส่วน
ส่วนที่ 1 สมาชิกอาเซียนและคู่เจรจาได้แสดงความยึดมั่นหลักการสากล ได้แก่
1) ภายใต้บริบทที่โลกมีความไม่แน่นอนสูง อาเซียนและคู่เจรจาจะยึดมั่นในกรอบพหุภาคี กรอบภูมิภาค ระเบียบโลกที่ตั้งอยู่บนหลักการสหประชาชาติ
2) แก้ไขข้อพิพาทโดยการเจรจาพูดคุยอย่างสันติ เคารพอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน ทั้งสถานการณ์ในภูมิภาคและโลก เช่น สถานการณ์ในตะวันออกกลาง กาซา พัฒนาการระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน คาบสมุทรเกาหลี ทะเลจีนใต้ ยูเครน
3) ยึดมั่นในเอกภาพและความเป็นแกนกลางของอาเซียน
น่าสังเกตว่าการประชุมครั้งนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหลักมากันครบ ยกเว้นอินเดียที่ส่งรัฐมนตรีช่วยว่าการมาร่วมประชุม สะท้อนว่า อาเซียนยังมีพลังดึงดูดให้ภาคีภายนอกให้ความสำคัญกับพลวัตในอาเซียน เห็นว่าอาเซียนยังมีบทบาทในการสร้างสมดุลระหว่างขั้วอำนาจต่างๆ
ส่วนที่ 2 กำหนดทิศทางความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ร่วมกันในภูมิภาค
1) สร้างประชาคมอาเซียนให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น ปีนี้ผู้นำอาเซียนเพิ่งรับรองวิสัยทัศน์อาเซียน 2045 รวมตัวทางเศรษฐกิจให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นโดยใช้กลไกเอฟทีเอที่อาเซียนมีกับคู่ค้าต่างๆ ให้เกิดประโยชน์ ขยายสมาชิกภาพรับติมอร์ เลสเต เป็นสมาชิกรายที่ 11
นอกจากนี้ยังมีการบริหารจัดการภาคีภายนอกที่สนใจมีส่วนร่วมกับอาเซียน หลายประเทศจากหลายภูมิภาคต้องการเข้ามาเป็นภาคี ปีนี้อัลจีเรียและอุรุกวัยลงนามเป็นภาคีแล้ว ที่ผ่านมาอาเซียนเคยมีมติหยุดรับ dialogue partner (ประเทศคู่เจรจา) ชั่วคราว การประชุมรอบนี้รัฐมนตรีต่างประเทศเห็นชอบให้ทบทวนและมีแนวทางบริหารจัดการประเทศนอกภูมิภาคและประเทศคู่เจรจาด้วย
2) ขับเคลื่อนความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ระหว่างสมาชิกอาเซียน ประเทศคู่เจรจา ประเทศคู่เจรจาเฉพาะสาขา หุ้นส่วนการพัฒนา ซึ่งทุกประเทศให้ความสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจการค้า โดยเฉพาะเศรษฐกิจดิจิทัล ประเทศคู่เจรจาพร้อมพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลให้กับประเทศอาเซียน ด้วยตระหนักดีว่า ภูมิภาคนี้มีพลวัตทางเศรษฐกิจสูง เศรษฐกิจดิจิทัลจะเป็นรากฐานของการพัฒนาเศรษฐกิจในอนาคต
ไม่เพียงเท่านั้น การประชุมยังพูดถึงความมั่นคงด้านอาหาร พลังงาน ผลักดันความร่วมมือโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าอาเซียนซึ่งจะไปสนับสนุนโครงสร้างเศรษฐกิจดิจิทัล ส่งเสริมความเชื่อมโยงวาระสีเขียว การพัฒนาที่ยั่งยืน ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับประชาชน
ทุกประเทศโดยเฉพาะไทยให้ความสำคัญกับการต่อต้านและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ร่วมมือกันขจัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อาชญากรรมออนไลน์ สหรัฐเสนอให้มีถ้อยแถลงร่วมของผู้นำในกรอบ EAS คาดว่าจะได้รับการรับรองในการประชุมผู้นำในเดือน ต.ค.นี้
ส่วนในประเด็นเมียนมาเห็นชอบผลักดันฉันทามติ 5 ข้อต่อไป โดยเน้นย้ำให้เมียนมาจัดการพูดคุยระหว่างฝ่ายต่างๆ
- ถอดรหัส ‘มาร์โก รูบิโอ’ ร่วมประชุม
(ภาพจาก X Maris Sangiampongsa)
มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ เข้าร่วมประชุมในกรอบ EAS และ ARF สังเกตได้ว่า สหรัฐไม่ได้กล่าวหาจีนว่าเป็นอุปสรรคด้านการค้าหรือความมั่นคง ทั้งๆ ที่สหรัฐมีผลประโยชน์ในภูมิภาคนี้เห็นได้จากการมีท่าทีชัดเจนกรณีพัฒนาการในทะเลจีนใต้และไต้หวัน
สิ่งที่อาเซียนให้สหรัฐได้คือ การที่รูบิโอมาร่วมประชุมมีโอกาสได้พบปะในกรอบทวิภาคีกับประเทศหลักๆ รวมถึงจีน ภายใต้บริบทความขัดแย้งระหว่างสองมหาอำนาจ ในการประชุมทั้งสองฝ่ายไม่ได้ใช้ท่าทีแข็งกร้าวทำให้บรรยากาศเบาลง เกิดการพูดคุยทำความเข้าใจระหว่างกัน
"เชื่อว่าในบริบทโลกปัจจุบันขั้วอำนาจหลักคงไม่อยากกระพือความตึงเครียดให้เพิ่มขึ้น ทุกคนพยายามที่จะรักษาบรรยากาศของการพูดคุยอย่างสร้างสรรค์" อธิบดีกรมอาเซียนกล่าวและว่า ในเรื่องการค้านั้นมีการพูดคุยกันบ้างแต่ไม่ได้ลงรายละเอียด เป็นการพูดในหลักการว่าต้องยึดกติกาที่คาดการณ์ได้ อาเซียนเองก็ต้องหาทางบรรเทามาตรการภาษีด้วยการร่วมมือกัน ใช้กลไกที่มีอยู่ส่งเสริมการค้าการพัฒนาร่วมกัน ร่วมมือกับประเทศในภูมิภาค ใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอที่อาเซียนทำกับประเทศต่างๆ และ RCEP
“ในการเจรจาการค้าแต่ละประเทศมีเงื่อนไขแตกต่างกันจึงเป็นอำนาจอธิปไตยของแต่ละประเทศในการเจรจาบนพื้นฐานของผลประโยชน์แห่งประเทศตน”
(ภาพจาก X Maris Sangiampongsa)
สำหรับท่าทีของสหรัฐและจีนต่ออาเซียน พลพงศ์กล่าวว่า ทั้งสองประเทศมองอาเซียนเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ สหรัฐเน้นความมั่นคง จีนเน้นตรึงอิทธิพลด้านการค้า แต่เริ่มให้ความสำคัญกับประเด็นความมั่นคงและการทหารเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ทั้งสองประเทศให้ความสำคัญร่วมมือกับอาเซียนแก้ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ อาชญากรรมไซเบอร์ ความมั่นคงด้านพลังงาน โดยจีนเน้นความมั่นคงด้านอาหารมากกว่าสหรัฐ
“แต่ท้ายที่สุดทั้งสองประเทศยังมองอาเซียนมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ เช่น จีนมีโครงการ BRI (Belt and Road Initiative) ที่จีนเน้นย้ำกับอาเซียนมาตลอดว่า เป็นโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน” พลพงศ์สรุป







