รู้จักกำแพงภาษีสหรัฐ 'มาตรา 301' ไม้เด็ดจากยุค 'ทรัมป์ที่เอาไว้ตอบโต้ 'จีน'

รู้จักกำแพงภาษีสหรัฐ 'มาตรา 301'  ไม้เด็ดจากยุค 'ทรัมป์ที่เอาไว้ตอบโต้ 'จีน'

บรรยากาศการค้าระหว่าง 'สหรัฐ' กับ 'จีน' กลับมาตึงเครียดอีกครั้ง หลังจากสหรัฐประกาศงัดกฎหมายการค้า 'มาตรา 301' สอบสวนอุตสาหกรรมจีนแข่งขันไม่เป็นธรรม ซึ่งเป็นมาตราที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์เคยใช้ตั้งกำแพงภาษีกับจีนเมื่อ 6 ปีก่อน 

ในสัปดาห์นี้ บรรยากาศทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนได้กลับมาตึงเครียดกันอีกครั้ง เมื่อสหรัฐประกาศสอบสวนอุตสาหกรรมการขนส่งทางทะเล (Maritime) โลจิสติกส์ (Logistics) และการต่อเรือ (Shipbuilding) ของ "จีน" ในเรื่องการผูกขาดตลาด โดยเป็นการสอบสวนภายใต้กฎหมายการค้ามาตรา 301 ของสหรัฐ

ประเด็นที่หลายฝ่ายจับตาก็คือ มาตรา 301 นั้น เป็นมาตราที่สหรัฐเคยใช้มาก่อนในยุคของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และนำไปสู่การ "ตั้งกำแพงภาษี" กับสินค้าจีนหลายรายการรวมมูลค่ากว่า 2 แสนล้านดอลลาร์ ทำให้หลายฝ่ายจับตาใกล้ชิดว่าสหรัฐกำลังเตรียมที่จะกลับมาใช้กำแพงภาษีกับจีนอีกครั้งหรือไม่ 

นอกจากนี้ อุตสาหกรรมของจีนที่เข้าข่ายถูกสอบสวนยังอาจ "ขยายวง" ออกไปกว้างกว่าที่คาดเอาไว้ เมื่อประธานาธิบดีสหรัฐ และผู้แทนการค้าของสหรัฐมีการระบุถึงอุตสาหกรรมที่อาจเข้าข่ายเพิ่มเติม เช่น เหล็กและอะลูมิเนียม ไปจนถึงรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี)
 

มาตรา 301 คืออะไร 

มาตรา 301 เป็นส่วนหนึ่งของรัฐบัญญัติทางการค้าปี 1974 (Trade Act of 1974) ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่มาตรา 301 ถึง 310 แต่มักถูกเรียกโดยรวมว่า "มาตรา 301" กฏหมายส่วนนี้เป็นเครื่องมือที่บังคับใช้สิทธิของสหรัฐตามสัญญาทางการค้า และดำเนินการกับสิ่งที่กีดขวางทางการค้าของต่างประเทศต่อการส่งออกของสหรัฐ 

มาตรานี้ใช้ได้ทั้งกับการกระทำ นโยบาย และการถือปฏิบัติของต่างประเทศที่ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) มีความเห็นว่า

1) ละเมิด หรือไม่สอดคล้องกับสัญญาทางการค้า หรือ

2) ไม่เป็นธรรม หรือ เป็นภาระ หรือ จำกัดการค้าของสหรัฐ 

มาตรา 301 อาจริเริ่มโดยผู้มีส่วนได้เสียเข้ามาร้องเรียนต่อ USTR หรือ USTR อาจเป็นผู้ริเริ่มเองก็ได้ การสอบสวนจะเริ่มต้นโดยการแสวงหาข้อตกลงผ่านการเจรจากับประเทศที่เกี่ยวข้อง และสหรัฐกับประเทศที่ถูกสอบจะต้องหาข้อสรุปให้ได้ภายใน 12-18 เดือนหลังผลสอบ มิฉะนั้น "USTR จะดำเนินมาตรการตอบโต้เอง" ซึ่งมักจะอยู่ในรูปแบบของการ "ขึ้นอัตราภาษีขาเข้ากับสินค้านำเข้าที่เกี่ยวข้อง" เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนเทียบเท่าความเสียหายที่เกิดขึ้นกับธุรกิจสหรัฐ

ก่อนหน้านี้อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ได้เปิดสอบสวนสินค้านำเข้าจากจีนภายใต้มาตรา 301 และมาตรา 232 เกี่ยวกับสินค้านำเข้าที่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ และนำไปสู่การตั้งกำแพงภาษีสินค้าจีนครั้งใหญ่รวมเป็นมูลค่าถึงกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์ เมื่อปี 2561 ทำให้จีนออกมาตรการตอบโต้จนกลายเป็นสงครามการค้าระหว่างกันขึ้นและส่งผลกระทบต่อการค้าไปทั่วโลก  

สหรัฐเปิดสอบสวนจีนภายใต้มาตรา 301

ในสัปดาห์นี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศสอบสวนอุตสาหกรรมการขนส่งทางทะเล (Maritime) โลจิสติกส์ (Logistics) และการต่อเรือ (Shipbuilding) ของจีน ภายใต้กฎหมายการค้ามาตรา 301 เมื่อวันที่ 17 เม.ย. 67โดยกล่าวหาว่าจีนใช้นโยบาย และแนวทางการปฏิบัติอย่างไม่สอดคล้องกับระบบตลาด เพื่อเป้าหมายที่จะครอบงำอุตสาหกรรมเหล่านี้ 

แถลงการณ์ของสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ระบุว่า สหรัฐเปิดการสอบสวนครั้งใหม่ภายใต้มาตรา 301 ของรัฐบัญญัติทางการค้าปี 1974 ภายหลังได้รับการร้องเรียนอย่างจริงจัง และวิตกกังวลจากสหภาพแรงงาน 5 แห่งในประเทศซึ่งกล่าวหาว่า จีนใช้นโยบาย และแนวทางปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม และไม่เป็นไปตามกลไตลาด เพื่อครอบงำอุตสาหกรรมการขนส่งทางทะเล โลจิสติกส์ และการต่อเรือ

"ข้อกล่าวหาดังกล่าวสะท้อนถึงสิ่งที่เราเห็นมาแล้วในอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่(จีน)ใช้นโยบาย และแนวปฏิบัติที่ไม่ใช่ระบบตลาดอย่างเป็นวงกว้าง เพื่อบ่อนทำลายการแข่งขันที่เป็นธรรมและครอบงำตลาด ทั้งในจีนและทั่วโลก" แคเทอรีน ไท่ ผู้แทนการค้าสหรัฐระบุในแถลงการณ์ และย้ำว่าจะดำเนินการสอบสวนเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วน

'ไบเดน' จี้ขึ้นภาษีเหล็ก - อะลูมิเนียม 'จีน'

นอกจากอุตสาหกรรมการขนส่งทางทะเล โลจิสติกส์ และการต่อเรือของจีนที่ถูกสอบสวนภายใต้มาตรา 301 แล้ว ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐ ยังกล่าวระหว่างการหาเสียงกับสหภาพแรงงานที่รัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งเป็นหนึ่งในรัฐสวิงสเตทของการเลือกตั้งสหรัฐ เรียกร้องให้ USTR พิจารณาขึ้นภาษีเหล็กกล้า และอะลูมิเนียมที่นำเข้าจากจีนเพิ่มเป็น "3 เท่า" หรือจากปัจจุบันที่ 7.5% ไปเป็นระดับ 22.5% 

ผู้นำสหรัฐยังกล่าวว่า ได้ส่งผู้แทนระดับสูงไปยังประเทศเม็กซิโกเพื่อกดดันไม่ให้อุตสาหกรรมเหล็กกล้าและอะลูมิเนียมของจีนย้ายไปตั้งฐานการผลิตในเม็กซิโก เพื่อส่งออกสินค้ามาสหรัฐโดยเลี่ยงภาษีดังกล่าวด้วย

จับตาใช้มาตรา 301 กับ 'อีวีจีน' หรือไม่

นางแคทเธอรีน ไท่ ผู้แทนการค้าของสหรัฐกล่าว ระหว่างการชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการการเงินของวุฒิสภาสหรัฐว่า สหรัฐต้องดำเนินการ "ขั้นเด็ดขาด" เพื่อปกป้องภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) จากบรรดาคู่แข่งที่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลจีน

ผู้แทน USTR กล่าวว่า สหรัฐจำเป็นต้องสร้างสภาพแวดล้อมการแข่งขันที่เป็นธรรมสำหรับแรงงานสหรัฐ ขณะที่เสียงเรียกร้องของประธานาธิบดีไบเดนที่ขอให้พิจารณาใช้ "มาตรา 301" สำหรับขึ้นภาษีเหล็กกล้าและอะลูมิเนียมนำเข้าจากจีนนั้น หมายความว่าสหรัฐมีการก้าวหน้ามากในการทำงานประสานร่วมกันระหว่างหน่วยงาน และคาดว่าจะได้ข้อสรุปออกมาในเร็วๆ นี้

ทั้งนี้ วุฒิสมาชิกสหรัฐบางรายได้เรียกร้องให้นางไท่ใช้การทบทวนมาตรา 301 เพื่อดำเนินการเรียกเก็บภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นสำหรับรถอีวีที่ผลิตในประเทศจีนด้วย แต่ไท่ระบุเพียงว่า การทบทวนและการปรับเปลี่ยนใดๆ จะถูกนำเสนอเป็น "แพ็กเกจที่สมบูรณ์" ในภายหลัง และมั่นใจว่าจะแล้วเสร็จในเร็วๆ นี้

จีนฟาดสหรัฐ 'เลือกปฏิบัติ' 

กระทรวงพาณิชย์จีนออกแถลงการณ์แสดงความไม่พอใจต่อกรณีที่รัฐบาลสหรัฐเข้าตรวจสอบอุตสาหกรรมทางทะเล โลจิสติกส์ และการต่อเรือของจีนภายใต้กฎหมายการค้าสหรัฐมาตรา 301 โดยระบุว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ และสหรัฐเองก็ใช้เงินหลายพันล้านดอลลาร์ในการอุดหนุนอุตสาหกรรมต่างๆ ภายในประเทศในลักษณะ "เลือกปฏิบัติ" แต่ถึงกระนั้นสหรัฐก็ยังกล่าวหาว่าจีนใช้แนวทางการปฏิบัติอย่างไม่สอดคล้องกับระบบตลาด

"ความจริงแล้ว การที่อุตสาหกรรมต่างๆ ของจีนมีพัฒนาการที่ดีนั้น เป็นผลมาจากการนวัตกรรมทางเทคโนโลยีและการเข้าไปมีส่วนร่วมในการแข่งขันในตลาดแบบเชิงรุก" กระทรวงพาณิชย์จีนระบุ

แถลงการณ์ของจีนยังเรียกร้องให้สหรัฐเคารพกฎระเบียบพหุภาคี และยืนยันว่าจีนจะใช้มาตรการทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของประเทศ

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์