'เจพีมอร์แกน' เบรกลงทุนจีน ชี้ผลตอบแทนความเสี่ยงไม่เหมือนเดิมแล้ว

'เจพีมอร์แกน' เบรกลงทุนจีน  ชี้ผลตอบแทนความเสี่ยงไม่เหมือนเดิมแล้ว

ซีอีโอแบงก์ใหญ่ 'เจพีมอร์แกน' กล่าวถึง 'จีน' นอกรอบเวทีประชุม WEF ว่า การคำนวณผลตอบแทนความเสี่ยงในจีนซับซ้อนขึ้น พร้อมเตือน 'สหรัฐ' ถูกปัจจัยเสี่ยงรุมเร้าเพียบทั้งปีนี้ - ปีหน้า

เจมี ไดมอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของธนาคารเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค กล่าวนอกรอบกับบลูมเบิร์กระหว่างร่วมการประชุมเวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรั่ม (WEF) เตือนบรรดานักลงทุนที่กำลังคิดจะเข้าไปจีนเพื่อหาโอกาสจากเขตเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของโลกว่า อาจต้องพิจารณาให้ดี เพราะผลตอบแทนความเสี่ยงในจีนซับซ้อนขึ้น และไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

ไดมอน กล่าวว่า แม้ทางการจีนจะมีความพยายามต่อเนื่องในการเปิดตลาดภาคบริการทางการเงินให้ต่างชาติมากขึ้น และย้ำเรื่องการปฏิบัติกับบริษัทต่างชาติอย่างเป็นธรรม แต่สำหรับบริษัทสหรัฐแล้ว การคำนวณผลตอบแทนความเสี่ยงการลงทุนในจีนเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากเมื่อเทียบกับอดีต และมีความซับซ้อนขึ้นมาก  

ทั้งนี้ ไดมอนเป็นผู้บริหารที่ส่งสัญญาณเตือนมาหลายปีแล้วว่า ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์จะเป็นอุปสรรคสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก และในการเข้าร่วมประชุม WEF ที่ดาวอส สวิตเซอร์แลนด์ ในสัปดาห์นี้ ไดมอนได้พบ และพูดคุยกับนายกรัฐมนตรี หลี่ เฉียง ของจีน, ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน และผู้บริหารระดับสูงทั่วโลก   

เตือน 'สหรัฐ' ถูกปัจจัยเสี่ยงรุมเร้าเพียบทั้งปีนี้ - ปีหน้า

ซีอีโอเจพีมอร์แกนยังแสดงความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐในช่วง 2 ปีข้างหน้า เนื่องจากผลกระทบที่เกิดจากความเสี่ยงทั้งในด้านการเงิน และภูมิรัฐศาสตร์

"ปัจจัยที่จะมีผลกระทบ ได้แก่ สถานการณ์ในยูเครน, การก่อการร้ายในอิสราเอล และทะเลแดง และการใช้นโยบายคุมเข้มด้านการเงินเชิงปริมาณ (QT) ซึ่งเป็นนโยบายที่ผมเองก็ยังคงมีคำถามว่าเราเข้าใจแนวทางนี้ได้ดีพอหรือไม่ ก่อนที่จะนำมาใช้" ไดมอน กล่าว โดย QT หมายถึงการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ทำการปรับลดงบดุลบัญชี และลดการดำเนินนโยบายที่เคยนำมาใช้ก่อนหน้านี้ ซึ่งรวมถึงโครงการซื้อพันธบัตรรัฐบาล

ไดมอนยังคงแสดงความไม่มั่นใจเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐเช่นเดียวกับในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าเจพีมอร์แกนซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่สุดของสหรัฐจะสามารถทำกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และแม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐทำผลงานได้ดีสวนทางกับการคาดการณ์ก็ตาม โดยเศรษฐกิจได้แรงหนุนจากการที่ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ยังคงจับจ่ายใช้สอย เนื่องจากการจ้างงานอยู่ในระดับที่ดี และชาวอเมริกันมีเงินออมเป็นจำนวนมากในช่วงที่โรคโควิด-19 แพร่ระบาด

สำหรับมุมมองเรื่องตลาดหุ้นนั้น ไดมอน กล่าวว่า การที่บริษัทจดทะเบียนประกาศซื้อหุ้นคืนในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ได้ช่วยดึงดูดให้นักลงทุนเข้าซื้อสินทรัพย์เสี่ยง โดยดัชนี S&P500 พุ่งขึ้นแข็งแกร่งถึง 19% ในปีที่แล้ว และยังคงเคลื่อนตัวไม่ห่างจากระดับสูงสุด

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์