เปิดสไตล์บริหาร ‘เดลฟีน อาร์โนลต์’ ซีอีโอ‘ดิออร์’ลูกสาวมหาเศรษฐี

เปิดสไตล์บริหาร ‘เดลฟีน อาร์โนลต์’   ซีอีโอ‘ดิออร์’ลูกสาวมหาเศรษฐี

พ่อแม่มักเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูก จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเมื่อได้ยินว่าลูกหลานอภิมหาเศรษฐีได้รับการเตรียมตัวตั้งแต่ยังเด็กให้สืบทอดอาณาจักรธุรกิจของพ่อแม่หรือญาติผู้ใหญ่ใกล้ชิด

เดลฟีน อาร์โนลต์ ลูกสาวคนโตของเบอร์นาร์ด อาร์โนลต์ ประธานแอลวีเอ็มเอช (LVMH) ก็เช่นเดียวกัน เมื่อวันที่ 11 ม.ค. เธอได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเบอร์หนึ่งของคริสเตียน ดิออร์ แบรนด์ใหญ่อันดับสองของแอลวีเอ็มเอช

เดลฟีน เป็นลูกของเบอร์นาร์ด อภิมหาเศรษฐีโลกผู้เพิ่งโค่นแชมป์ อีลอน มัสก์ ไปเมื่อไม่นานมานี้กับ แอนน์ เดวาริน ภรรยาคนแรก  เดลฟีนเกิดใกล้กรุงปารีสเมื่อวันที่ 4 เม.ย.2518 มีน้องชายอีก 4 คน เห็นได้ชัดว่าเธอคือทายาทของอาณาจักรแบรนด์หรู และความมั่งคั่งระดับ 1.84 แสนล้านดอลลาร์ เธอเข้าเรียนชั้นประถมศึกษาในกรุงปารีส แล้วไปเรียนโรงเรียนฝรั่งเศส-อเมริกัน ในสหรัฐอยู่ช่วงหนึ่งทำให้เธอใช้งานภาษาอังกฤษได้คล่อง หลังจบการศึกษาจาก London School of Economics ในปี 2540 เดลฟีนได้งานที่บริษัทแมคคินซีย์

“ฉันเรียนกลยุทธ์ ในการนำเสนอในสหรัฐพวกเขาจะเริ่มต้นด้วยข้อสรุปแล้วบอกว่าเราจะไปถึงจุดนั้นได้อย่างไร ฉันพบว่านั่นน่าสนใจมาก ตรงประเด็น” เดลฟีนกล่าวกับไฟแนนเชียล ไทมส์ สองปีต่อมาเธอทำงานกับแบรนด์ดีไซเนอร์แฟชั่น “จอห์น แกลลิอาโน” เพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์ ซึ่งในเวลานั้นแกลลิอาโนเป็นผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ให้ดิออร์ด้วย

ด้านชีวิตสมรสก็ไม่ธรรมดา เดลฟีนแต่งกับอเลซซานโดร วัลลาริโน กานเซีย ทายาทไวน์อิตาลีเมื่อปี 2548 ที่ฟอร์บส เรียกว่า “งานแต่งแห่งปีของฝรั่งเศส” แต่ต้องหย่าร้างกันในปี 2553 จากนั้นเธอเริ่มคบหากับซาเวียร์ นีล อภิมหาเศรษฐีโทรคมนาคมชาวฝรั่งเศส ปัจจุบันมีลูกด้วยกันสองคน

ตอนที่มีคลิป แกลลิอาโนแสดงความเห็นต่อต้านชาวยิว เป็นผลให้เขาพ้นจากดิออร์ในปี 2554 เดลฟีนได้รับเสียงชื่นชมว่าสามารถจัดการจนปกป้องบริษัทไม่ให้เกิดความเสียหายได้ ตั้งแต่ปี 2556 เธอรับผิดชอบทุกกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหลุยส์วิตตอง แบรนด์ใหญ่สุดของแอลวีเอ็มเอช

เจ้าตัวบอกเล่าสไตล์การบริหารของตนเองว่า “ค่อนข้างนิ่ง” แต่เป็นที่รู้กันดีว่า เธอมักโผล่มาที่ร้านแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวช่วงบ่ายวันเสาร์แสนวุ่นวาย

ในวัย 43 ปี เดลฟีนร่วมเป็นคณะกรรมการบริหารแอลวีเอ็มเอชด้วยอายุน้อยที่สุด และเป็นผู้หญิงคนที่ 2 ในบอร์ดตอนที่เธอเข้าร่วมเมื่อปี 2562

ไม่กี่วันที่ผ่านมา เดลฟีนได้รับแต่งตั้งเป็นซีอีโอคริสเตียน ดิออร์ แทน ปิเอโตร เบคคารี ที่ไปดูแลหลุยส์วิตตอง

แถลงการณ์ของบิดาซึ่งเป็นประธานแอลวีเอ็มเอชชื่นชมลูกสาวคนนี้ชัดเจน “ภายใต้การนำของเธอ ความต้องการสินค้าหลุยส์วิตตองก้าวหน้าไปมาก ทำให้แบรนด์สร้างสถิติการขายใหม่อยู่เสมอ มุมมองที่กระตือรือร้นและประสบการณ์อันยากจะหาใครเปรียบของเธอจะเป็นสินทรัพย์ชี้ขาดการขับเคลื่อนการพัฒนาคริสเตียน ดิออร์ที่กำลังดำเนินอยู่”

สำหรับแอลวีเอ็มเอช กรุ๊ป ไตรมาสแรกของปี 2565 ทำยอดขายได้กว่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 28% จากช่วงเดียวกันของปี 2564 โดยที่บริษัทไม่ได้แยกข้อมูลทางการเงินรายแบรนด์

โทมัส โชเวต์ นักวิเคราะห์จากซิตี้ เผยว่า การแต่งตั้งเดลฟีนเป็นความเคลื่อนไหวที่มีนัยสำคัญ เนื่องจาก “การวางแผนสืบทอดบทบาทด้านกลยุทธ์เป็นเครื่องมือสู่ความสำเร็จของแบรนด์หลักแอลวีเอ็มเอชตลอด 20 ปีที่ผ่านมา”

จะว่าไปแล้วอุตสาหกรรมสินค้าแบรนด์เนมมักเป็นกิจการของครอบครัว ดังนั้นคำถามที่มีมาตลอดคือ ทายาทรุ่นต่อไปจะบริหารธุรกิจของตระกูลไปตลอดรอดฝั่งหรือไม่ แอลวีเอ็มเอชก็เจอคำถามแบบเดียวกัน แม้ว่าเบอร์นาร์ด วัย 73 ปี ยังไม่มีทีท่าจะเกษียณเร็วๆ นี้ ปีก่อนบริษัทออกกฎเพิ่มอายุเกษียณฝ่ายบริหารจาก 75 เป็น 80 ปี

ตอนนี้นักวิเคราะห์คนหนึ่งกล่าวว่า นักลงทุนรู้สึกไม่ค่อยดีกับเดลฟีน แต่คนที่รู้จักเดลฟีนเตือนว่าอย่าประเมินเธอต่ำเกินไป เธอมีเคล็ดลับในการทำงานกับดีไซเนอร์ มีเซนส์ว่าสินค้าตัวใดเวิร์กไม่เวิร์ก และรู้วิธีทำตลาด มีสายตาดูออกว่ากระเป๋าถือแบบไหนฮิต ซึ่งสำคัญมากสำหรับบริษัทที่กำไรส่วนใหญ่มาจากกระเป๋าหนัง

คนที่รู้จักสองพ่อลูกบอกว่า สิ่งที่ทั้งคู่มีเหมือนกันคือ บารมี ความตรงไปตรง และความฝันอันแรงกล้า แม้เดลฟีนไม่แสดงออกมาอย่างเปิดเผยก็ตาม นอกจากนี้เบอร์นาร์ด และเดลฟีนยังหลงใหลศิลปะ และสะสมงานศิลป์เหมือนๆ กัน

“สองพ่อลูกผูกพันกันเป็นพิเศษ เธอเป็นลูกสาวคนเดียว และลูกคนโต บุคลิกมาดมั่นได้มาจากพ่อ” ซิดนีย์ โทลดาโน สุดยอดผู้บริหารจากแอลวีเอ็มเอชกล่าวกับไฟแนนเชียล ไทมส์

คนในบริษัทรู้ดีถึงอิทธิพลที่เดลฟีนมีต่อบิดา ด้วยเหตุนี้พนักงานหรือผู้จัดการมักไปล็อบบี้เธอก่อนหากจะทำโครงการใหม่ๆ หรือจ้างคนเพิ่ม

ไม่เพียงเท่านั้นเดลฟีนยังมีบทบาทสำคัญในการสรรหาผู้อำนวยการฝ่ายศิลปะมาสร้างชีวิตชีวาให้กับแบรนด์แอลวีเอ็มเอช ไม่ว่าจะเป็น นำราฟ ไซมอนส์ มาอยู่กับดิออร์, โจนาทาน แอนเดอร์สัน ที่โลเอเว่ (Loewe) และแฌสกิแยร์ (Ghesquière) ที่หลุยส์วิตตอง

 ปี 2557 ผู้บริหารหญิงรายนี้ตั้งรางวัลแอลวีเอ็มเอชเพื่อดีไซเนอร์รุ่นใหม่ สำหรับค้นหาคนเก่งจากทั่วโลก ผู้ชนะรับเงินรางวัล 300,00 ยูโร และได้รับคำปรึกษาเป็นเวลาหนึ่งปี

“ตอนแรกเธอก็ดูน่ากลัวสำหรับดีไซเนอร์ แต่เธอมีคุณสมบัตินักฟังที่ทำให้เธอเข้าถึง และเข้าใจได้อย่างน่าทึ่ง” อิสเบลลา คาเปเซ กาลีโอโต ผู้ทำงานกับรางวัลนี้มาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งกล่าวกับไฟแนนเชียล ไทมส์ถึงสไตล์การทำงานของเดลฟีน 

บางคนบอกว่า เดลฟีนมีสไตล์การบริหารแบบเยือกเย็น พยายามหาฉันทามติแทนที่จะตัดสินใจออกมาฝ่ายเดียว ตอนที่เธอเริ่มทำงานหาไอเดียกระเป๋าใหม่ร่วมกับแฌสกิแยร์ เธอนั่งลงที่พื้นโรงงานกับเขา ตอนที่เขาพยายามแยกหนังกับเนื้อผ้า “น่าทึ่งมากครับ แต่เธอเป็นธรรมชาติมากๆ” แฌสกิแยร์เล่าบรรยากาศ

และด้วยความหลงใหลศิลปะ เดลฟีนเป็นคณะกรรมการแกลเลอรี Gagosian ร่วมกับอีแวน สปีเกิล ผู้ก่อตั้งสแน็ปแช็ต ซึ่งเป็นเพื่อนกับครอบครัว

“เธอสนใจงานศิลปะลอสแองเจลิสเอามากๆ เราไปเยี่ยมศิลปินด้วยกันเสมอเมื่อเธออยู่ในแอลเอ เธอสนใจกระบวนการสร้างสรรค์ และชอบไปดูศิลปินทำงาน” สปีเกิล กล่าวกับไฟแนนเชียล ไทมส์ 

การไปเยี่ยมสตูดิโอของโจนัส วูด และอเล็กซ์ อิสราเอล ครั้งหนึ่งเกิดประโยชน์ผลต่อหลุยส์วิตตองทั้งคู่เข้ามาร่วมโครงการปี 2562 ออกแบบกระเป๋าถือ Capucines ที่ขายได้มากที่สุด นี่คือ แบบฉบับของครอบครัวอาร์โนลต์ ที่ทำอะไรก็ไม่เคยทิ้งงาน สไตล์การบริหารของซีอีโอคริสเตียน ดิออร์คนใหม่หนีไม่พ้นลูกไม้ใต้ต้น  Like father, like daughter

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์