กินลมชมเมืองหลวง ย่ำเท้าท่องจาการ์ตา

กินลมชมเมืองหลวง  ย่ำเท้าท่องจาการ์ตา

อย่างที่หลายคนพูดกัน ประสบการณ์ครั้งแรกไม่ว่าเรื่องใดย่อมยากที่จะลืมเลือน เช่นเดียวกับการเดินทางไปต่างประเทศหลังโควิด-19 ที่หลายคนรอคอยมานาน เมื่อได้ออกเดินทางอีกครั้งไม่ว่าปลายทางนั้นอยู่ที่ใดย่อมประทับใจไม่รู้ลืม

เมื่อวันที่ 26-28  ส.ค. World Pulse และเพื่อนสื่อมวลชนไทยอีกสองรายเดินทางไปร่วมงาน Art Jakarta 2022 ที่กรุงจาการ์ตาของอินโดนีเซียอย่างที่เคยรายงานไปแล้วก่อนหน้านี้ แต่ยังมีเรื่องราวอยากให้พูดถึงจึงขอเล่าถึงบรรยากาศวันสุดท้ายในกรุงจาการ์ตาถือเป็นการเก็บตก 

วันอาทิตย์ (28 ส.ค.) สื่อมวลชนไทยเสร็จสิ้นภารกิจมีเวลาว่างพักผ่อนหนึ่งวัน สำหรับสองสื่อสาวงาน Art Jakarta 2022 คือทริปแรกหลังโควิด ส่วนสื่อหนุ่มรายเดียวนี่คือทริปต่างประเทศครั้งแรก วันสุดท้ายจึงเป็นวันท่องเที่ยวชมจาการ์ตาตามอัธยาศัย เพื่อนสื่อสาวสายอาร์ตเลือกไปย่านเซาท์จาการ์ตา ทำเลสำหรับคนชิคๆ คูลๆ มีคาเฟ่เก๋มากมาย สื่อหนุ่มลุยเดี่ยวไปทั่วเมือง และเนื่องจากการเดินทางสำหรับคนต่างถิ่นที่มีเวลาน้อยในเมืองหลวงวิธีที่สะดวกที่สุดคือแท็กซี่ (MRT ก็มีแต่ระยะทางยังไม่ไกล ประมาณ 15 กิโลเมตร) แต่ผู้เขียนแลกเงินรูเปี๊ยะห์ไปน้อย ไม่อยากเสียค่าแท็กซี่ ต้องการเก็บเงินไว้ซื้อผ้าบาติกสวยๆ ก่อนกลับ จึงตัดสินใจไปในที่ที่สามารถเดินเท้าถึง โชคดีที่โรงแรมที่พักไม่ไกลจากอนุสรณ์สถานแห่งชาติ ที่เรียกกันว่า Monumen Nasional หรือ Monas เปิดกูเกิลแมพส์ราว 2.4 กิโลเมตร งั้นเดินไปที่นี่ก็แล้วกัน 

ด้วยความที่เป็นวันสบายๆ ราวสิบโมงเศษผู้เขียนออกจากโรงแรมที่อยู่ตรงข้ามกับห้างซารินาห์ ห้างสรรพสินค้าแห่งแรกของอินโดนีเซีย ออกมาปุ๊บก็ต้องตะลึงงันเพราะตำรวจเยอะมาก เยอะจนอดสงสัยไม่ได้ “หรือว่าเกิดเหตุก่อการร้าย!!!” สอบถามตำรวจแถวนั้นดูได้ความว่า เมื่อเวลา 7.00 น. มีการจัดกิจกรรมอัญเชิญธงชาติอินโดนีเซียยาว 1,700 เมตร เนื่องในวันชาติ (17 ส.ค.) โดยประชาชนราว 50,000 คน จากใจกลางเมืองสู่อนุสรณ์สถานแห่งชาติ ประธานาธิบดีโจโก วิโดโด เป็นประธานในพิธี ดังนั้นผู้เขียนคิดไม่ผิดที่ตัดสินใจไปที่นั่น แม้ว่าจะไปถึงตอนตลาดวายแล้วก็ตาม 

กินลมชมเมืองหลวง  ย่ำเท้าท่องจาการ์ตา (ภาพ: watermelon)

เรื่องตำรวจมากจนเกินเหตุนี่นึกขึ้นได้ว่า กลับมาเมืองไทยได้ราวหนึ่งสัปดาห์ มีข่าวประชาชนทั่วประเทศอินโดนีเซียประท้วงต้านการขึ้นราคาพลังงานที่รัฐเคยอุดหนุนมาตลอด เฉพาะในกรุงจาการ์ตามีการวางกำลังตำรวจถึง 7,000 นาย!!! อ่านข่าวแล้วนึกภาพไม่ออกเลยว่าจะมากขนาดไหน เพราะแค่งานฉลองวันชาติตำรวจยังละลานตา 

ระหว่างทางที่เดินเห็นชาวจาการ์ตาออกมาเฉลิมฉลองวันชาติกันคึกคัก ช่วยให้ระยะทาง 2.4 กิโลเมตรไปถึงอนุสรณ์สถานแห่งชาติเป็นการเดินเพลินๆ ข้อมูลจากเว็บไซต์ indonesia.travel ระบุ อนุสรณ์สถานแห่งชาติตั้งอยู่กลางจัตุรัสเมอร์เดกา เป็นที่เก็บธงสีแดงขาวผืนแรกที่โบกสะบัดในการประกาศเอกราชอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 17 ส.ค.1945 ปัจจุบันธงผืนแรกเก่ามากแล้วผืนที่นำมาใช้ในพิธีการเป็นธงผืนใหม่ 

กินลมชมเมืองหลวง  ย่ำเท้าท่องจาการ์ตา (ภาพ: watermelon)

อนุสรณ์สถานแห่งชาติมีความสูง 137 เมตร ลักษณะเป็นแท่งหินสี่ด้านลาดเอียงมีปลายแหลม ส่วนยอดเป็นเปลวไฟสีบรอนซ์สูง 14.5 เมตร หุ้มด้วยทองคำเปลว 32 กิโลกรัม ภายใต้แท่นนี้เป็นพิพิธภัณฑ์บอกเล่าการต่อสู้เพื่อเอกราช และต้นฉบับคำประกาศเอกราช ส่วนคนที่อยากชมวิวมุมสูงของจาการ์ตาสามารถขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นฐานเปลวไฟได้ ซึ่งวันนั้นมีคนมาเข้าคิวชมพิพิธภัณฑ์เป็นจำนวนมาก 

ใกล้กันในระยะเดินถึงคือมัสยิดอิสติกลัล เป็นอีกหนึ่งจุดหมายที่ไม่ควรพลาด อิสติกลัลมาจากภาษาอาหรับหมายถึงเอกราช ตั้งชื่อนี้เพื่อเตือนใจถึงการต่อสู้ให้ได้มาซึ่งเอกราชของอินโดนีเซีย 

มัสยิดอิสติกลัลออกแบบในปี 1954 โดย Frederich Silaban สถาปนิกคริสเตียนจากสุมาตราเหนือ การก่อสร้างใช้เวลา 17 ปี ซึ่งในสมัยรัฐบาลประธานาธิบดีซูการ์โนได้ลงมาดูแลการก่อสร้างด้วยตนเอง ผู้นำโลกที่เคยมาเยือน เช่น ประธานาธิบดีบารัก โอบามา และมิเชล สุภาพสตรีหมายเลขหนึี่งที่มาเยือนอินโดนีเซียเพียง 18 ชั่วโมงระหว่างวันที่ 9-10 พ.ย. 2010 ก็ยังต้องหาเวลาแวะมายังมัสยิดแห่งนี้ แต่เมื่อผู้เขียนไปถึงราวเที่ยงเศษๆ กลายเป็นว่า มัสยิดปิดชั่วครู่ นักท่องเที่ยวต้องรอถึงเวลา 14.00 น. จึงจะเข้าชมได้ 

ดูท้องฟ้ามืดครึ้มฝนทะมึนตั้งเค้ามาแต่ไกล เห็นทีต้องหาที่หลบฝนและรับประทานมื้อเที่ยงใกล้ๆ โรงแรม ซึ่งก็หนีไม่พ้นในห้างที่กำลังจัดเทศกาลอาหารอยู่พอดี เข้าไปเยี่ยมๆ มองๆ อาหารหลากหลาย ข้าวแกงมีหลายชนิด ก๋วยเตี๋ยวก็มี เยอะจนเลือกไม่ถูก งั้นเลือกซุปเนื้อมีหอมเจียวโรยแบบเดียวกับที่ขายในร้านอาหารอิสลามของไทยก็แล้วกัน ซุปถ้วยเล็กๆ จำราคาเป็นสกุลรูเปี๊ยะห์ไม่ได้  จำได้ว่าตอนนั้นกดเครื่องคิดเลขเท่ากับ 108 บาท รสชาติแม้จะคล้ายกับในเมืองไทยแต่เข้มข้นกว่ามาก ได้ข้อสรุปส่วนตัวว่าการรับประทานอาหารประเภทเนื้อในประเทศกินเนื้อเป็นหลักถือเป็นสวรรค์  อย่างสะเต๊ะเนื้อที่รับประทานในมื้อก่อนหน้าก็อร่อยสุดยอด แม้น้ำจิ้มออกหวานไปนิด แต่ตัวสะเต๊ะนั้นกลมกล่อมมาก น่าเสียดายที่เป็นการรับประทานในร้านหรูมีเจ้าภาพดูแล ยังไม่มีโอกาสไปชิมสะเต๊ะสตรีทฟู้ดว่ารสชาติแบบชาวบ้านจะเป็นอย่างไร เห็นทีต้องหาโอกาสมาลองใหม่คราวหน้า 

ทริปจาการ์ตาสามวันสิ้นสุดลงด้วยความประทับใจ ที่เขาว่าจาการ์ตารถติดมากก็ได้มาเห็นด้วยตาตนเอง ถ้า MRT เสร็จทั้งหมดการสัญจรก็คงสะดวกขึ้น ผ้าบาติกที่เลื่องลือก็สวยจริงๆ มีทุกเนื้อผ้าให้เลือกสรรไม่ได้มีแค่ผ้าถุง บรรยากาศโดยรวมของเมืองไม่ต่างจากกรุงเทพฯ แต่มีต้นไม้เยอะกว่าอย่างสังเกตได้ จากเมืองหลวงชวนให้คิดต่อว่า ในเมื่อการเดินทางเริ่มกลับมาเป็นปกติแล้ว ทริปต่อไปควรไปเที่ยวส่วนอื่นๆ ของอินโดนีเซียบ้างก็น่าจะดี ระหว่างวันที่ 15-16 พ.ย.นี้ อินโดนีเซียจะเป็นเจ้าภาพการประชุมผู้นำกลุ่มประเทศ G20 ที่เกาะบาหลี หลังประชุมเชื่อแน่ว่าเกาะแห่งนี้จะกลับมาร้อนแรงบนแผนที่ท่องเที่ยวโลกอีกครั้งหนึ่ง