สภาผู้บริโภคฟ้อง 'กตป.' ชี้ กสทช.เกียร์ว่าง ลอยแพประชาชน ค่าโทรแพง–บริการตกต่ำ

สภาผู้บริโภคจุดชนวนฟ้อง กตป. หลังรายงานประเมินชี้ชัด กสทช. ล้มเหลวในการคุ้มครองผู้บริโภค ปล่อยให้เกิดการผูกขาดโทรคมนาคม ค่าบริการพุ่ง–คุณภาพตกต่ำ ขณะที่ กตป. ชุดใหม่ประกาศเดินหน้าใช้เกณฑ์สากลประเมินการทำงาน กสทช. หวังฟื้นความเชื่อมั่น และยกระดับธรรมาภิบาลองค์กรกำกับดูแลไทย
คณะกรรมการติดตาม และประเมินผลการปฏิบัติงาน (กตป.) เดินหน้าประเมินการทำงานของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ บอร์ด กสทช. และสำนักงาน กสทช. ประจำปี 2568 โดยใช้เกณฑ์ “Rubric” ตามแนวทางของ OECD ที่เน้นความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และเชื่อมโยงกับนโยบายระดับประเทศ เพื่อยกระดับมาตรฐานองค์กรกำกับดูแลของไทยให้เทียบเท่าสากล
การประเมินในปีนี้ครอบคลุม 6 มิติสำคัญ ได้แก่
- โครงสร้างและธรรมาภิบาลองค์กร
- อำนาจหน้าที่ และขอบเขตการกำกับ
- กระบวนการและการมีส่วนร่วม
- ขีดความสามารถด้านนวัตกรรม
- ผลลัพธ์การกำกับ
- คุณค่าการบริหาร
โดยมุ่งให้ได้ภาพรวมที่รอบด้านของการทำงาน กสทช. และเชื่อมโยงกับแผนยุทธศาสตร์สำคัญ เช่น แผนแม่บทบริหารคลื่นความถี่ และสิทธิวงโคจรดาวเทียม เพื่อสร้างระบบกำกับดูแลที่ตอบโจทย์เศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ
อย่างไรก็ตาม รายงานเบื้องต้นของ กตป. กลับสะท้อน “จุดอ่อน” สำคัญของ กสทช. โดยเฉพาะด้านการคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งกลายเป็นประเด็นร้อนต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา หลังการควบรวมระหว่าง “ทรู–ดีแทค” เมื่อปี 2565 ที่สภาองค์กรของผู้บริโภค มองว่าเป็นจุดเปลี่ยน ที่ทำให้โครงสร้างตลาดโทรคมนาคมไทยเข้าสู่ภาวะผูกขาดโดยปริยาย
สภาผู้บริโภคเปิดเผยว่า กสทช. ไม่ได้ดำเนินการตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในมติรับทราบการควบรวม ทั้งการจ้างที่ปรึกษาอิสระตรวจสอบต้นทุน และโครงสร้างค่าบริการ การเปิดเผยอัตราค่าบริการตามต้นทุนจริง และการปรับลดค่าบริการเฉลี่ยลง 12% ภายในระยะเวลาที่กำหนด ส่งผลให้ผู้บริโภคต้องรับภาระค่าบริการโทรศัพท์ และอินเทอร์เน็ตแพงขึ้น ขณะที่คุณภาพบริการกลับลดลง ซึ่งเป็นสิ่งที่สะท้อนชัดถึงการละเลยหน้าที่ตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย
รายงานของ กตป. ยังสอดคล้องกับเสียงวิจารณ์จากสังคมว่า กสทช. “อ่อนแรง” ในการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภค โดยเฉพาะกรณีปัญหา SMS หลอกลวง คอลเซนเตอร์มิจฉาชีพ และระบบร้องเรียนที่เข้าถึงยาก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้พิการ และผู้สูงอายุ ทำให้ความเชื่อมั่นต่อองค์กรลดลงอย่างต่อเนื่อง
พล.อ.สิทธิชัย มากกุญชร กรรมการ กตป. ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค กล่าวถึงแนวทางการติดตามปี 2568 ว่า จะมุ่งเน้นตรวจสอบความโปร่งใสของบริการโทรคมนาคม โดยเฉพาะบริการที่ใช้กลยุทธ์การขายแบบแพ็กเกจ (Bundle Services) ที่อาจสร้างภาระโดยไม่จำเป็นให้ผู้บริโภค พร้อมติดตามสถิติเรื่องร้องเรียนเพื่อหาแนวทางแก้ไขเชิงรุก ส่งเสริมการยืนยันตัวตนด้วย Mobile ID และยกระดับทักษะดิจิทัลให้ประชาชนมีภูมิคุ้มกันในโลกออนไลน์
หลังการควบรวมทรู–ดีแทค สังคมกังวลอย่างมากเรื่องค่าบริการ และคุณภาพ กตป. จะใช้การประเมินปีนี้เป็นเครื่องมือกดดันให้ กสทช. กลับมาทำหน้าที่เชิงรุกแทนการรอรับเรื่องร้องเรียน
ด้านสภาผู้บริโภค ยังคงเดินหน้าต่อสู้ในทางกฎหมาย โดยได้ยื่นฟ้องศาลปกครองต่อการทำหน้าที่ของ กสทช. ตั้งแต่วันที่ 20 ต.ค.2565 โดยชี้ว่าการ “รับทราบ” การควบรวมโดยไม่ใช้อำนาจ “อนุมัติหรือไม่อนุมัติ” เป็นการตีความกฎหมายที่บิดเบือน และขัดต่อหลักคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ พร้อมเรียกร้องให้มีการปฏิรูปกฎหมาย กสทช. ครั้งใหญ่ เพื่อสร้างกลไกตรวจสอบที่เป็นอิสระ และลดอิทธิพลของผู้ประกอบการรายใหญ่
ขณะเดียวกัน การเข้ามาของ กตป. ชุดใหม่ที่เพิ่งผ่านการคัดเลือกจากวุฒิสภาเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา นำโดย พล.ต.ต.เอกธนัช ลิ้มสังกาศ เป็นประธาน และมีกรรมการจากหลากหลายภาคส่วน ทั้งด้านกระจายเสียง โทรทัศน์ โทรคมนาคม การคุ้มครองผู้บริโภค และสิทธิเสรีภาพของประชาชน ถูกมองว่าเป็นความหวังของภาคประชาชนในการฟื้นฟูธรรมาภิบาลของ กสทช. ให้กลับมาเป็นองค์กรที่รับใช้ประชาชนอย่างแท้จริง
การประเมินของ กตป. ปี 2568 จึงไม่ได้เป็นเพียงการวัดผลการทำงานขององค์กรกำกับดูแลเท่านั้น แต่ยังเป็น “บททดสอบศรัทธา” ว่า กสทช. จะสามารถฟื้นความเชื่อมั่นจากสังคมได้หรือไม่ หลังเผชิญเสียงวิจารณ์หนักเรื่องการปล่อยให้เกิดการผูกขาด และค่าบริการที่สูงเกินจริง
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







