‘จีน’ จะแซง ‘สหรัฐอเมริกา’ ขึ้น เป็นผู้นำด้าน AI หรือไม่?

‘จีน’ จะแซง ‘สหรัฐอเมริกา’ ขึ้น เป็นผู้นำด้าน AI หรือไม่?

ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังกลายเป็นเทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง การแข่งขันด้าน AI ระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนจึงทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ

ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังกลายเป็นเทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง การแข่งขันด้าน AI ระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนจึงทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ ทั้งสองประเทศต่างมุ่งมั่นที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้าน AI ของโลก ทั้งนี้จีนประกาศนโยบายอย่างชัดเจนว่าจะเป็นผู้นำทางด้าน AI ของโลกในปี 2030 ซึ่งสหรัฐอเมริกาก็มีความกังวลในเรื่องนี้และก็พยายามออกกฎหมายและข้อบังคับหลายๆ เรื่องที่จะชะลอความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี AI ของประเทศจีน

จีนได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้านการพัฒนา AI โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคส่วนของการใช้งาน AI ในชีวิตประจำวัน ตัวอย่างเช่น ในด้านการค้าปลีกออนไลน์ ระบบขนส่งอัตโนมัติ และการขับขี่อัตโนมัติ โดยการมีฐานข้อมูลขนาดใหญ่และผู้ใช้งานจำนวนมหาศาลเป็นจุดแข็งสำคัญที่ช่วยให้จีนสามารถพัฒนาและปรับปรุง AI ได้อย่างรวดเร็วและตอบสนองต่อความต้องการของตลาดได้

ขณะที่ สหรัฐอเมริกายังคงเป็นผู้นำด้านการพัฒนาและวิจัย AI โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม AI เช่น โมเดลภาษาขนาดใหญ่ คอมพิวเตอร์ควอนตัม และการประมวลผลแบบ Deep Learning ทั้งสองประเทศต่างก็มีจุดเด่นจุดด้อย หรือข้อได้เปรียบเสียเปรียบที่แตกต่างกัน ดังนี้ จีนมีจุดเด่นกว่าสหรัฐอเมริกาในบางด้าน อาทิ

ด้านฐานข้อมูลและผู้ใช้ : จีนมีฐานข้อมูลขนาดใหญ่ ผู้ใช้งานจำนวนมหาศาล และความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลได้อย่างง่ายดาย เมื่อเทียบกับสหรัฐอเมริกาจึงทำให้จีนสามารถพัฒนาและปรับปรุง AI ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

ด้านการสนับสนุนจากภาครัฐ รัฐบาลจีนให้ความสำคัญกับการพัฒนา AI และสนับสนุนเงินทุนให้กับโครงการต่างๆ มากมาย ในขณะที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาแม้จะให้ความสำคัญกับการพัฒนา AI แต่ยังไม่ชัดเจนว่ารัฐบาลจะสนับสนุนเงินทุนให้กับโครงการต่างๆ ในระดับเดียวกับจีน

 

ด้านนโยบาย: รัฐบาลจีนมีนโยบายที่เอื้อต่อการพัฒนา AI เช่น การเปิดเสรีข้อมูลและเทคโนโลยี แต่ขณะที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกามีนโยบายที่เข้มงวดในการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งอาจทำให้การพัฒนา AI เป็นไปอย่างยากลำบากเพราะมีข้อมูลที่จำกัดกว่า

ส่วนประเด็นที่จีนยังตามหลังสหรัฐอเมริกาด้วยข้อจำกัดบางประการ ดังเช่น ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม: จีนยังตามหลังสหรัฐอเมริกาในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม AI โดยเฉพาะในด้านของโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) เช่น ChatGPT Bard Gemini และ LLaMAซึ่งเป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของการนำ AI มาใช้ในงานที่จะโต้ตอบกับมนุษย์ และน่าจะเป็นอนาคตที่สำคัญของเทคโนโลยี AI

ด้านชิปประมวลผล : สหรัฐอเมริกามีความเหนือกว่าคือในด้านการออกแบบชิปประมวลผล โดยเฉพาะการพัฒนาชิปที่เกี่ยวข้องกับ AI บริษัทเช่น Nvidia และ AMD ได้เป็นผู้นำในตลาดนี้ ซึ่งช่วยให้สหรัฐอเมริกาสามารถควบคุมการพัฒนาเทคโนโลยี AI ในระดับสูงได้

ด้านการวิจัย: สหรัฐอเมริกามีสถาบันวิจัยและบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลก ซึ่งเป็นแหล่งทุนวิจัยด้าน AI ที่สำคัญ ด้านการจัดการและการกำกับดูแล: รัฐบาลจีนมีการควบคุมและกำกับดูแล AI ที่เข้มงวด ซึ่งอาจทำให้การพัฒนา AI เป็นไปอย่างล่าช้า ในขณะที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาเปิดโอกาสให้บริษัทเอกชนขนาดใหญ่ทำการพัฒนา AI อย่างเสรีกว่ามาก

นอกจากนี้การที่สหรัฐอเมริกากำหนดมาตรการควบคุมการส่งออกไปยังจีนได้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อความพยายามของจีนในการพัฒนาเทคโนโลยี AI อย่างชัดเจน การจำกัดการเข้าถึงชิปกราฟิกประมวลผลขั้นสูง (GPUs) จากบริษัทอย่าง Nvidia ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLMs) นั้น ทำให้จีนต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างมากในการพัฒนาเทคโนโลยีด้านนี้

บริษัทเทคโนโลยีของจีนอย่าง Tencent Holdings และ ByteDance ที่เคยพึ่งพาเทคโนโลยีจาก Nvidia กำลังพบกับความยากลำบากจากการกำหนดข้อจำกัดใหม่ของรัฐบาลสหรัฐฯ แม้ว่า Nvidia จะพยายามพัฒนาชิปรุ่นที่ช้าลงเพื่อตลาดจีน แต่การแบนการขายชิปขั้นสูงอย่าง A800 และ H800 ไปยังจีนก็เป็นการเพิ่มข้อจำกัดที่สำคัญ

การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อการพัฒนา AI ของจีนเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อการพัฒนาบริการคลาวด์และความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก บริษัทอย่าง Alibaba และ Tencent ต่างก็ต้องทบทวนแผนการพัฒนาของตัวเองเนื่องจากข้อจำกัดเหล่านี้ แม้ว่าจะมีความพยายามในการเข้าถึงชิปและเทคโนโลยีจากบริษัทในประเทศ เช่น iFlyTek และ Huawei Technologies แต่ชิบเหล่านั้นก็ยังมีข้อจำกัดในการสร้างโมเดล AI ขนาดใหญ่

ข้อจำกัดเหล่านี้ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อการแข่งขันด้านเทคโนโลยี AI ระหว่างสหรัฐอเมริกา และจีนเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงในภูมิทัศน์โลกด้านเทคโนโลยี ที่ผลักดันให้จีนต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์และเส้นทางในการพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองอย่างจำเป็น

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่าสหรัฐอเมริกาจะยังคงเป็นผู้นำด้าน AI ต่อไปในระยะสั้น เนื่องจากสหรัฐอเมริกามีจุดเริ่มต้นที่ดีกว่าและยังมีข้อได้เปรียบในด้านต่างๆ อย่างไรก็ตาม จีนกำลังไล่ตามสหรัฐอเมริกาอย่างใกล้ชิด และหากจีนสามารถแก้ไขข้อจำกัดต่างๆ ได้ จีนก็มีโอกาสที่จะแซงสหรัฐอเมริกาในอนาคต

การแข่งขันด้าน AI ระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนจะส่งผลกระทบต่อโลกในหลายด้าน เช่น การพัฒนาเศรษฐกิจ ความมั่นคง และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หากสหรัฐอเมริกายังคงเป็นผู้นำด้าน AI ต่อไป สหรัฐอเมริกาจะสามารถรักษาความได้เปรียบทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของตนไว้ได้ อย่างไรก็ตาม หากจีนแซงสหรัฐอเมริกา จีนจะกลายเป็นมหาอำนาจด้านเทคโนโลยีใหม่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและระเบียบโลก

ทั้งนี้การแข่งขันด้าน AI ระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาเป็นการแข่งขันที่เข้มข้นและคงยาวนาน ผลการแข่งขันอาจส่งผลกระทบต่อโลกในหลายด้าน สุดท้ายแล้วอาจมีความจำเป็นที่ทั้งสองประเทศจะต้องร่วมมือกันเพื่อพัฒนา AI ให้มีความยั่งยืนและนำมาสู่การพัฒนาของโลกในทางที่ดี