เป้าหมายและทางลัด

เป้าหมายและทางลัด

การที่รู้ชัดเจนว่าเราต้องการอะไร และมองเห็นอนาคตว่า อยากเติบโตไปทางไหน จะทำให้เรามีเป้าหมายที่ชัดเจน และมีโฟกัสที่แม่นยำมากกว่าเดิม

เกริ่นไว้ใน “Think out of The Box” ฉบับที่แล้วถึงค่านิยมของการทำธุรกิจในยุคสตาร์ตอัพ ที่เน้นความเร็วและมุ่งสู่ความสำเร็จโดยใช้เวลาสั้นที่สุด ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด เพียงแต่การเติบโต อย่างมั่นคงและรอบคอบก็เป็นสิ่งจำเป็นที่เราจะมองข้ามไปไม่ได้เช่นกัน

การมีโฟกัสหรือจุดสนใจหลักไม่หลงตามกระแสใดๆ จึงเป็นข้อคิดที่ผมอยากฝากไว้ เพราะการที่รู้ชัดเจนว่าเราต้องการอะไร และมองเห็นอนาคตว่า อยากเติบโตไปทางไหน จะทำให้เรามีเป้าหมายที่ชัดเจน และมีโฟกัสที่แม่นยำมากกว่าเดิม

การที่เรามีเป้าหมายที่เห็นชัดและหมั่นเตือนใจตัวเองให้พุ่งเป้าสู่เป้าหมายนั้นตลอดเวลาจะทำให้ตัวเราไม่วอกแวกไปตามกระแสที่เกิดขึ้น เพราะสังคมทุกวันนี้เต็มไปด้วยกระแสรวยเร็ว กระแสธุรกิจรวยลัด จนทำให้หลายคนหลงตามไปจนลืมเป้าหมายที่ตัวเองเคยวางเอาไว้

ความสำเร็จอย่างฉาบฉวยเป็นสิ่งที่ดึงดูดให้คนพลาดเป้าหมายมากที่สุด บางครั้งการเขียนเป้าหมายของเราให้มองเห็นง่าย ๆ เช่นเป็นวอลเปเปอร์ในคอมพิวเตอร์หรือเป็นแบคกราวด์ในหน้าจอมือถือเพื่อเตือนใจตัวเองก็อาจช่วยให้เรากลับมาโฟกัสที่เป้าหมายได้ดีขึ้น และแม้จะมีโฟกัสแล้วบางครั้ง เราต้องจัดลำดับความสำคัญให้ถูกต้อง เพราะในชีวิตความเป็นจริง

เราไม่ได้มีแค่หน้าที่การงาน แต่ยังมีครอบครัว ญาติสนิท รวมไปถึงเพื่อนฝูงที่ต้องใส่ใจ บางครั้งมีงานสำคัญ ซึ่งอาจชนกับงานวันเกิดเพื่อนฝูง ก็อาจต้องตัดใจเลือกงานก่อนเพราะอาจมีโอกาสแค่ครั้งเดียว แต่เพื่อนฝูง ยังมีโอกาสได้เจออีก

แต่ในขณะเดียวเราก็ต้องยืดหยุ่นกับชีวิตเพียงพอ เพราะบางครั้งเราก็ต้องการผ่อนคลาย ต้องการใช้เวลากับครอบครัวหรือเพื่อนฝูง เราก็ต้องรู้จักความพอดี ยิ่งในสถานการณ์การแข่งขันยุคปัจจุบันที่ดุเดือดและก่อให้เกิดความเครียดสูงเราจึงจำเป็นต้องหาจังหวะเวลาเพื่ออยู่กับตัวเองบ้าง

ข้อสุดท้ายที่อยากฝากไว้ให้ผู้อ่านทุกท่าน คือ ต้องรู้จักอดทนในทุกช่วงของชีวิต หลายอย่างที่เราอาจประสบความสำเร็จงดงาม แต่ผ่านไปไม่กี่ปีมันอาจไม่มีความหมายอะไรเลยเพราะทุกสิ่งที่เราทำล้วน เป็นการลองผิดลองถูก และความสำเร็จในปลายทางของเรานั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ

สำหรับน้องๆ ที่เป็นคนรุ่นใหม่ อาจรู้สึกว่าในอดีตการฝ่าฟันสอบเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำได้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว แต่หลังจากนั้นไม่นานก็พบว่าเมื่อเรียนจบแล้ว ยังต้องมาดูเราอีกว่าจะได้งานในบริษัทใหญ่ ๆ การงานมั่นคงไหม เพราะเรียนจบแล้วได้งานดี ๆ จึงถือว่าสำเร็จ

ต่อมาก็มาดูกันที่รายได้ว่าสูงพอไหมเมื่อเปรียบเทียบกับคนในวัยเดียวกัน ถ้าได้เยอะก็ดูจะสำเร็จกว่าคนอื่น หรือไม่ก็ดูกันที่ตำแหน่งหน้าที่ว่าได้รับผิดชอบมากไหม ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นเป้าหมายระยะสั้นทั้งสิ้น

เราอาจเรียนจบจากมหาวิทยาลัยที่ไม่มีชื่อเสียงมากนัก หรือเราอาจทำงานที่มีรายได้สู้เพื่อนฝูงไม่ได้ในตอนต้น แต่เรารู้ว่างานนี้จะปูทางให้เราไปสู่เป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ในที่สุด เมื่อเทียบกับเพื่อนที่ทำงานรายได้ดี แต่เป็นงานที่เขาไม่ชอบและไม่ได้ตรงกับความสามารถจริงๆ ของเขา เราอาจสู้เขาไม่ได้ในระยะสั้น แต่ระยะยาวมั่นใจได้ว่าเรามีโอกาสไปถึงเป้าหมายได้ก่อนเขาแน่นอน

แต่เราต้องหมั่นทบทวนตัวเองอยู่เสมอ บางครั้งงานที่ทำอาจผิดไปจากที่ตั้งใจไว้ และยิ่งทำให้เราไกลจากเป้าหมายไปเรื่อยๆ ก็ต้องกล้ายอมรับความเป็นจริงและมองหาเส้นทางใหม่ เพราะบางครั้งงานที่ทำอาจเป็นงานง่าย ๆ แต่ทำให้เราไม่กล้าลองอะไรใหม่ๆ โอกาสในการเรียนรู้และการเติบโตก็ลดน้อยลงไปด้วย

เพราะความผิดพลาดเป็นต้นทุนให้เราแกร่งขึ้นเสมอ เราสามารถเรียนรู้จากความล้มเหลวได้ และความล้มเหลวนั้นก็จะเป็นต้นทุนให้เราเติบโตไปสู่ความสำเร็จที่ตั้งเป้าเอาไว้ได้ในที่สุด