แกะรอย “โยดะยา” ในอาณาจักรยะไข่โบราณ

แกะรอย “โยดะยา” ในอาณาจักรยะไข่โบราณ

ในประวัติศาสตร์สงครามระหว่างอยุธยากับพม่าในคริสตวรรษที่ 16 และ 18 มีชาวอยุธยาจำนวนมากถูกกวาดต้อนไปยังอาณาจักรพม่า มีไม่กี่คนเท่านั้นที่เราทราบชะตากรรมและมีอีกจำนวนไม่น้อยที่เราไม่ทราบเรื่องราวหลังจากหายไปจากอยุธยา

บางทีเราอาจไม่เคยคิดเลยก็ได้ว่าชาวอยุธยาจำนวนหนึ่งในจำนวนไม่น้อยนั้นเดินทางไปไกลถึงอาณาจักรยะไข่หรืออาระกันโบราณในอ่าวเบงกอล

นักประวัติศาสตร์รับรู้เรื่องราวของพวกเขาจากงานเขียนภาษาพื้นเมือง

20190130_065223

งานเขียนเรื่อง ธัญวดีอเยด่อโป่ง หรือ วรรณคดียอพระเกียรติราชายะไข่ เรียบเรียงโดยพระสงฆ์ชาวยะไข่ฉายา “กวีสารภีสิริบวรอัคคมหาธรรมราชาธิราชคุรุ” ค.ศ.1788 กล่าวอ้างถึงพระเจ้าบุเรงนองทรงยกทัพไปตีอาณาจักรโยดะยา(อยุธยา) หลังจากตีเมืองโยดะยาได้แล้วก็เทครัวชาวโยดะยาจำนวนหนึ่งกลับไปยังเมืองพะโค(หงสาวดี)

ในครั้งนั้นขุนนางชาวโยดะยาชื่อ “พระสมิง” นามเดิมบุญสมิงและน้องชายชื่อ “พระคุณไส” ขุนนางในพระเทียรราชาหรือสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ(ค.ศ. 1548-1569)ก็เป็นหนึ่งในชาว   โยดะยาที่ถูกกวาดต้อนมายังเมืองพะโคด้วย

ต่อมาทั้งสองพี่น้องได้ชักชวนเชลยชาวโยดะยาจำนวนหนึ่งหลบหนีเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารกษัตริย์ยะไข่ ณ เมืองมเย่าก์อู กษัตริย์ยะไข่พระราชทานที่อยู่อาศัยให้และมีรับสั่งให้เข้าไปรับใช้ในสังกัดของอำมาตย์ มหาปิ่นหญ่าจ่อ/ปัญญาจ่อ (Maha Pyin-nya Kyaw)

หลังจากที่เข้าไปสังกัดอำมาตย์ดังกล่าว เป็นเวลาประมาณห้าเดือน กษัตริย์มีรับสั่งให้อำมาตย์เข้าเฝ้าถวายรายงาน มหาอำมาตย์ปิ่นหญ่าจ่อถวายรายงานเกี่ยวกับขุนนางโยดะยาว่าเป็นผู้มีจิตใจประเสริฐกว่าฝีมือในเชิงดาบ พระสมิงเป็นผู้ไม่คิดโลภมาก และคิดการตั้งตนเป็นใหญ่ ฝ่ายกษัตริย์ยะไข่ทรงพอพระทัยในขุนนางโยดะยาผู้นี้ จึงพระราชทานนางข้าหลวงของเจ้าหญิงแห่งเมืองธากา(ปัจจุบันอยู่ในบังคลาเทศ) นามว่า “มินโหญ่” ให้แก่พระสมิงและโปรด ฯ ให้ไปกินเมืองกั่นต่า

พระเจ้าบุเรงนองทรงทราบว่า พระสมิงหนีเข้ามาอยู่ในยะไข่จึงส่งคนให้นำพระราชสาส์นเพื่อหมายใช้ให้ขุนนางโยดะยาผู้นี้เป็นไส้ศึกในการชักศึกเข้าตียะไข่แต่พระราชสาส์นของพระเจ้าบุเรงนองกลับถูกนำมาถวายกษัตริย์ยะไข่

FB_IMG_1548776784135

ความในพระราชสาส์นมีว่าทราบมาว่า พระสมิงเป็นขุนนางที่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระเจ้าบุเรงนองซึ่งตอนนี้ตีโยดะยาไว้ในอำนาจได้แล้วเท่ากับว่าพระเจ้าบุเรงนองทรงเป็นกษัตริย์ปกครองทั้งเมืองพะโคและโยดะยา ดังนั้นหากพระสมิงสามารถคิดวางแผนเอายะไข่มาถวายได้สำเร็จแล้วไซร้ พระองค์จะให้กินเมืองพระพิษณุโลกเป็นรางวัล

เมื่อมหาอำมาตย์ปิ่นหญ่าจ่อกราบทูลความดังกล่าว กษัตริย์ยะไข่กลับไม่ได้เรียกพระสมิงเข้ามาสอบถามความจริงเรื่องการลักลอบหนีเข้ามายังอาณาจักรยะไข่ในฐานะไส้ศึกหรือไม่ กษัตริย์ยะไข่และอำมาตย์ต่างทราบในน้ำใจของพระสมิงตลอดระยะเวลาสามปีที่เข้ามาอยู่ในอาณาจักรยะไข่

ข้อนี้เห็นได้ชัดว่าแม้แต่เจ้าเมืองกัมปิรุปิ ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ทางเหนือของเมืองกั่นตา ใช้เวลาเดินเท้าประมาณหนึ่งเดือน ก็เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับพระสมิงเพราะเชื่อมั่นในน้ำใจอันประเสริฐของพระสมิง เจ้าเมืองกัมปิรุปิยกธิดานามว่า “มารดุล” ให้แด่พระสมิงและกษัตริย์ยะไข่ก็ทรงอวยยศให้พระสมิงขึ้นเป็น “สมิงสยาม”

FB_IMG_1550034102795

ในประวัติวรรณคดียะไข่ กล่าวถึงเรื่องราวของพระสมิงขุนนางแห่งพระเจ้าโยดะยาว่าเป็นผู้ประพันธ์บทกลอนถวายแด่กษัตริย์ยะไข่   บทกลอนของเขาบรรยายภาพความงดงามของวังหลวงเมืองมเย่าก์อูและยอพระเกียรติราชาแห่งยะไข่มีใจความว่า

ราชธานีของยะไข่เป็นที่ประทับของกษัตริย์ที่สืบสายมาจากศากยวงศ์ งดงามประดุจปราสาทเวชยันต์ในสรวงสวรรค์ ระยิบระยับไปด้วยประกายเพชร พลอย มรกต ทับทิม ทำให้ผู้คนที่ได้ชมต่างลุ่มหลงในความงาม บ้านเมืองเนืองแน่นไปด้วยฝูงชนที่มีชีวิตอยู่อย่างสำราญใจเฉกเช่นการอยู่บนสรวงสรรค์ ผู้คนต่างแต่งกายด้วยอาภรณ์ที่งดงามราวกับเทพบุตรเทพธิดา พ่อแก่แม่เฒ่าเข้าวัดฟังธรรมภาวนารักษาศีลด้วยความศรัทธาและด้วยบุญญาบารมีของกษัตริย์ที่แผ่ปกบ้านเมืองทำให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข  

นอกจากนี้เอกสารธัญวดีอเยด่อโป่งยังมีเรื่องราวเกี่ยวกับพระบรมวงศานุวงศ์ของโยดะยาและชาวโยดะยาในอาณาจักรยะไข่มีข้อมูลว่า เดือนมกราคม ค.ศ. 1586 กษัตริย์แห่งตองอูส่งพระราชสาส์นมายังกษัตริย์ยะไข่คือ พระเจ้ามินหย่าส่าจี (Min Yaza Gyi/Min Razagri)(ค.ศ. 1593-1612)เพื่อขอกองทัพยะไข่ไปช่วยตีเมืองพะโค

FB_IMG_1550034657176

ในการนี้ โปรดฯ ให้เจ้าเมืองจีตาวน์และเจ้าเมืองกะต่าเชิญพระราชสาส์นมาถวายแด่กษัตริย์ยะไข่ในเนื้อความพระราชสาส์นกล่าวว่า “หากว่าฝ่ายยะไข่ช่วยตองอูตีเอาเมืองพะโคได้สำเร็จจะยกพระธิดาพร้อมด้วยช้างเผือกเป็นบรรณาการถวาย” เมื่อได้อ่านพระราชสาส์นแล้วกษัตริย์ยะไข่โปรดฯ ให้จัดเตรียมทัพเพื่อไปช่วยตองอูทำศึกโดยเกณฑ์กองทัพจากแคว้นเบงกอลสิบสองหัวเมือง กองทัพชาวแต๊ะซึ่งนำโดย กอง ฮละ ผิ่ว (Kaung Hla Phyu) กองทัพจากเมืองลินแกและเมืองมโหย่งจัดแบ่งกองกำลังเป็นทัพบกและทัพเรือยกมาด้วยความห้าวหาญ

เมื่อกองทัพของกษัตริย์มินหย่าส่าจีตีเมืองตั่นละหยี่ง (สิเรียม) ได้แล้วก็ยกเข้าตั้งค่ายอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองพะโคเพื่อหมายล้อมเมืองไว้ ในขณะที่ทัพยะไข่ล้อมเมืองและเข้าตีเมืองพะโคนั้น กษัตริย์พะโคคือพระเจ้านันทบุเรงเสด็จหนีออกจากเมืองพะโคไปยังเมืองตองอู

ในเวลานี้กษัตริย์โยดะยาคือพระนริศ (พระนเรศวร) ทรงกรีธาทัพเข้ามาและมุ่งเคลื่อนทัพไปยังเมืองตองอู ในระยะที่กองทัพโยดะยาล้อมเมืองตองอูอยู่นั้นประสบกับปัญหาขาดแคลนเสบียงอาหารจึงยกทัพกลับโยดะยา ในขณะที่กองทัพโยดะยาถอนทัพกลับนี้เอง กองทัพชาวแต๊ะที่มากับกองทัพยะไข่ ได้ทีเข้าตีไล่ขนาบหลังกองทัพโยดะยาจนทัพเรือของโยดะยาแตกพ่าย

กองทัพชาวแต๊ะจับพระอนุชาของกษัตริย์โยดะยาพระนามว่า“พระสมุน” (Bya Tha Mun)นำตัวไปถวายกษัตริย์ยะไข่และยังยึดได้ปืนใหญ่ของฝ่ายโยดะยาชื่อ“พระยุทธสาร” กองทัพยะไข่ยึดเอารูปปั้นสัมฤทธิ์ของโยดะยาที่มีอยู่ในเมืองพะโค

FB_IMG_1550034107939

นอกจากนี้ยังมีรูปปั้นพระราม และหนุมานซึ่งกองทัพยะไข่เข้าใจว่าเป็นเทวรูปที่ชาวโยดะยาเคารพนับถือนำกลับไปยังเมืองยะไข่ ฝ่ายกษัตริย์ตองอูถวายเจ้าหญิงพระธิดาในพระเจ้าช้างเผือกบุเรงนองพระนามว่า “ฉิ่น   ดเว ฮนอง” และเหล่านางข้าหลวงของเจ้าหญิงพระองค์ดังกล่าวจำนวนสามร้อยนางพร้อมด้วยบรรณาการอันประกอบด้วย ช้าง ทอง เงิน ผ้าแพรพรรณต่างๆ ปืนใหญ่ และกระสุนดินปืน

กองทัพยะไข่กวาดต้อนชาวมอญและชาวโยดะยาในเมืองพะโคได้จำนวนชาวมอญ 30,000 คนและชาวโยดะยาจำนวน 3,000 คน นำกลับไปเมืองยะไข่ กษัตริย์ยะโข่โปรดฯให้ฟิลิป เดอ บริโตชาวโปรตุเกสเป็นผู้กินเมืองท่าสิเรียม หลังจากที่กองทัพกลับถึงเมืองยะไข่แล้วกำหนดให้จัดแบ่งกลุ่มชาวมอญและชาวโยดะยาเพื่อให้รับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาทกษัตริย์ยะไข่

สำหรับชาวโยดะยาให้แยกกลุ่มพวกนาฏศิลป์ออกเป็นหนึ่งกลุ่ม ส่วนจำนวนคนที่เหลือก็แบ่งเป็นกองกำลังชาวโยดะยาอีกจำนวน 8 กอง โดยพระราชทานที่ดินให้อาศัยอยู่ในเขตบแว ดา จูน และ ต่อง ยิน จูน ซึ่งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำกิจฉปและเขตเป่ จูน, อู ยิจ ต่อง จูน, มะโย จูน, ยะมอง จูน ซึ่งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำกิจฉป

ส่วนครัวมอญจัดเข้าอยู่ในกลุ่มควาญช้างโดยพระราชทานที่ดินให้อยู่อาศัยในย่านงาสิ่นยายจูน นอกจากนี้ยังพระราชทานคณะละครชาวโยดะยาจำนวนสี่สิบคนให้เข้าไปสังกัดกลุ่มทหารวัยฉกรรจ์ด้วย

ข้อมูลเกี่ยวกับชาวโยดะยาที่ปรากฏในเอกสารยะไข่นั้น เมื่อสอบทานกับเอกสารพม่าและเอกสารไทยไม่พบข้อมูลที่กล่าวถึงกลุ่มชาวโยดะยาดังกล่าว

FB_IMG_1548776200633

ข้อจำกัดของการรับรู้เรื่องราวของกลุ่มคนโยดะยาที่หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์คือการขาดแคลนหลักฐานชั้นต้นและบ่อยครั้งที่เอกสารเพื่อนบ้านมักเป็นจิ๊กซอว์ที่ทำให้นักประวัติศาสตร์สามารถทราบข้อมูลอีกชุดหนึ่งเพื่อนำมาต่อเติมภาพประวัติศาสตร์ที่ขาดวิ่นไป

หากเราไม่สามารถเข้าถึงเอกสารพื้นเมืองภาษายะไข่เราก็จะไม่ทราบเลยว่าชาวโยดะยาที่อพยพและถูกกวาดต้อนเทครัวไปยังอาณาจักรยะไข่ในอ่าวเบงกอล บางคนได้สร้างผลงานทิ้งไว้เหมือนอย่างที่พระสมิงและคณะได้สร้างผลงานและทิ้งร่องรอยโยดะยาไว้ในบรรณพิภพยะไข่ 

อ้างอิง

Kawitharabi Siri-pawara Ekka-maha Dhamma-yazadi-razaguru. “Dhannywaddy Ayaydawbon,” in Myanmar Min Myar Ayaydawbon, 4 th edition.Yangon: Yar Pyi Sar Ok Taik, 2005.