5เช็กลิสต์ก่อนซื้อบ้านมือสองความคุ้มค่าต้องรู้ทันเกม

บ้านมือสองอาจมาพร้อม “ราคา”ที่จับต้องได้แต่เบื้องหลังที่ต้องรู้ให้ลึกเพื่อให้การซื้อเกิดความคุ้มค่า ต้องรู้ทันเกมที่มีความเสี่ยงอาจซ่อนอยู่
การซื้อบ้านมือสอง อาจเป็น “ทางลัด” สู่การเป็นเจ้าของบ้านในทำเลที่ใฝ่ฝันในราคาที่เบากว่าการซื้อบ้านใหม่ แต่ในโลกของ อสังหาริมทรัพย์ “ถูก” ไม่ได้แปลว่า “ดี” เสมอไป
5 เทคนิคที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจซื้อบ้านมือสอง
ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) จึง สรุป 5 เทคนิคที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจซื้อบ้านมือสอง เพื่อลดความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสให้คุณได้เป็นเจ้าของบ้านอย่างมั่นใจที่สุด
1. ถามให้ครบ “บ้านนี้มีอดีตอะไรซ่อนอยู่?”
อย่ารีบตัดสินบ้านจากแค่หน้าตา เพราะบ้านทุกหลังมี “ประวัติ”
ผู้ซื้อควรถามเหตุผลในการขายจากเจ้าของเดิมหรือนายหน้า
ดูว่ามีเรื่องที่ควรกังวลหรือไม่ เช่น การขายเพราะมีข้อพิพาท ปัญหากฎหมาย หรือบ้านตั้งอยู่ในพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก
“บ้านที่สวยที่สุด อาจไม่ใช่บ้านที่น่าอยู่ที่สุด ถ้ายังไม่รู้ว่าข้างบ้านคืออะไร”
2. ตรวจบ้านอย่างมืออาชีพ อย่าให้ความเก่าเป็นกับดัก
บ้านมือสองมักผ่านการใช้งานมาแล้วหลายปีจึงควรตรวจสอบให้ละเอียด ทั้งโครงสร้าง ระบบไฟ ระบบประปารวมถึงร่องรอยของความเสียหายที่อาจบอกใบ้ถึงปัญหาใหญ่ เช่น รอยร้าวตรงกันสองฝั่งผนัง ซึ่งอาจสะท้อนปัญหาโครงสร้างบ้าน
หากไม่มั่นใจ แนะนำให้จ้างวิศวกรตรวจสอบก่อนตัดสินใจและที่สำคัญ ลองเข้าชมบ้านช่วงเวลาต่างกัน เช่น วันฝนตก หรือช่วงบ่ายเพื่อประเมินแสง ทิศลม และปัญหาแฝงอื่น ๆ
3. เช็ก “กรรมสิทธิ์” อย่าให้ดีลในฝันกลายเป็นคดีในศาล
ก่อนทำสัญญา ผู้ซื้อควรตรวจสอบโฉนดหรือหนังสือกรรมสิทธิ์อย่างละเอียดดูว่าผู้ขายเป็นเจ้าของที่แท้จริงหรือไม่ โฉนดที่นำมาแสดงตรงกับต้นฉบับที่สำนักงานที่ดินหรือเปล่าหรืออสังหาฯ นั้นมีข้อพิพาท ถูกฟ้อง หรือมีคำสั่งอายัดอยู่หรือไม่
หากซื้อจากญาติหรือบุคคลใกล้ชิดของเจ้าของ ต้องมี หนังสือมอบอำนาจ อย่างถูกต้องเพื่อให้กระบวนการเป็นไปตามกฎหมาย
4. เคลียร์หนี้กับนิติบุคคลก่อน บ้านสวยแต่หนี้แถม ไม่คุ้มแน่
บ้าน/คอนโดฯ มือสองบางหลังอาจค้างชำระค่าส่วนกลางผู้ซื้อควรสอบถามกับนิติบุคคลว่ามีภาระอะไรค้างอยู่หรือไม่และขอ ใบปลอดหนี้ ก่อนทำการโอนกรรมสิทธิ์ เพื่อไม่ให้หนี้นั้นตกมาเป็นภาระของผู้ซื้อ
อย่าลืมตรวจสอบว่าโครงการมีภาระจำยอม (ใช้พื้นที่ร่วม)หรืออยู่ในเขตเวนคืนจากภาครัฐหรือไม่ เพราะเรื่องเหล่านี้มีผลต่อการอยู่อาศัยระยะยาว
5. สัญญาให้รัดกุม อย่าปล่อยให้คำพูดลอยไปกับลม
เมื่อเลือกบ้านได้แล้ว อย่าลืมทำ สัญญาจะซื้อจะขาย อย่างชัดเจน
ระบุรายละเอียดครบถ้วน เช่น ราคาซื้อขายจริง ค่ามัดจำ วันโอน
รวมถึงค่าใช้จ่ายในการโอนกรรมสิทธิ์ว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบ
หากผู้ขายให้โปรโมชัน เช่น รับผิดชอบค่าโอน ค่าส่วนกลางต้องใส่ไว้ในสัญญาทุกครั้ง เพื่อให้ทุกข้อตกลงมีผลทางกฎหมาย







