‘แลนด์แอนด์เฮ้าส์’ ปรับแผนลดเสี่ยง เบรกเปิดคอนโดใหม่-รุกอสังหาฯเพื่อเช่า

‘แลนด์แอนด์เฮ้าส์’ ปรับแผนลดเสี่ยง  เบรกเปิดคอนโดใหม่-รุกอสังหาฯเพื่อเช่า

ความท้าทายปี 2567 จากปัญหาหนี้ครัวเรือน แบงก์เข้มปล่อยกู้ ส่งผลให้ “แลนด์แอนด์เฮ้าส์” ยักษ์ใหญ่แห่งวงการอสังหาฯ ประกาศเบรกคอนโดเพื่อลดความเสี่ยง หันมาเปิดแนวราบ 11 โครงการ มูลค่า 3 หมื่นล้าน โฟกัสกลุ่มราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป ตั้งเป้ายอดขาย 3.1 หมื่นล้านบาท

นพร สุนทรจิตต์เจริญ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าภาพรวมเศรษฐกิจปี 2567 น่าจะดีขึ้นหลังจากถูกกดมานาน คาดหวังว่าการจับจ่ายใช้สอยที่ดีขึ้นหลังจากตัวเลขนักท่องเที่ยวเข้ามามากกว่า 25 ล้านคนทั้งที่คนจีนยังไม่กลับเข้ามาเต็มที่ ส่งผลให้อัตราการเข้าพักโรงแรมในเครือที่พัทยาสูงถึง 90% แต่สิ่งที่ยังน่ากังวลคือหนี้ครัวเรือนสูงและความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ

“ปีนี้จึงเป็นปีที่ต้องประคองผลการดำเนินงานให้เป็นไปตามเป้าหมาย เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังคงมีความท้าทายสูง ประกอบกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังเผชิญกับแรงกดดันจากกำลังซื้อที่อ่อนแอ รวมทั้งซัพลายในตลาดยังเหลืออยู่มาก”
 

สำหรับภาพรวมตลาดคอนโดไม่ดีนัก โดยฟื้นตัวบางกลุ่ม บางระดับราคา และบางทำเล โดยเฉพาะระดับบนทำเลริมแม่น้ำ สังเกตได้จากโครงการวันเวลา ณ เจ้าพระยามูลค่า 16,000 ล้านบาท สามารถทำยอดขาย 5,000 ล้านบาท คิดเป็น 35% ของมูลค่าโครงการ ส่งผลให้ยอดขายคอนโดปีที่ผ่านมาโต 176%

“แต่ภาพรวมตลาดคอนโดยังไม่ฟื้นตัวดีนัก ปีนี้เราจึงไม่เปิดตัวคอนโด เน้นขายโครงการเดิมซึ่งเป็นคอนโดพร้อมขาย 7 โครงการ มูลค่า 16,000 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขาย 5,500 ล้านบาท ยอดโอน 2,000 ล้านบาท”

การปรับแผนดังกล่าวทำให้แอนด์ เฮ้าส์ ประกาศเปิดตัวปีนี้ 11 โครงการ มูลค่า 30,200 ล้านบาท ลดลง 30% เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่เปิดตัว 17 โครงการ มูลค่า 48,460 ล้านบาท

‘แลนด์แอนด์เฮ้าส์’ ปรับแผนลดเสี่ยง  เบรกเปิดคอนโดใหม่-รุกอสังหาฯเพื่อเช่า

“ปี 2567 บริษัทโฟกัสแนวราบ 11 โครงการ เป็นบ้านเดี่ยวระดับราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป สัดส่วน 20-30% และมี 1 โครงการเป็นบ้านเดี่ยวผสมทาวน์เฮ้าส์ ส่งผลให้ปีนี้มีโครงการดำเนินการ 84 โครงการ มูลค่า 98,550 ล้านบาท และราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วย 9.4 ล้านบาท”
 

‘แลนด์แอนด์เฮ้าส์’ ปรับแผนลดเสี่ยง  เบรกเปิดคอนโดใหม่-รุกอสังหาฯเพื่อเช่า

พร้อมกันนี้บริษัทเดินหน้าลงทุนธุรกิจอสังหาเพื่อเช่าเพื่อเสริมความแข็งแกร่ง หลังจากปี 2566 ธุรกิจโรงแรมโต 70% และศูนย์การค้าโต 100% จากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่กลับมา โดยได้ลงทุนในอสังหาเพื่อเช่าผ่าน LHMH และ LH USA 2,870 ล้านบาท

ประกอบด้วย โรงแรมแกรนด์ เซ็นเตอร์ พอยต์ สุรวงศ์ 920 ล้านบาท โรงแรมแกรนด์ เซ็นเตอร์ พอยต์ ลุมพินี 870 ล้านบาท โรงแรมและอพาร์ตเมนต์ 1,080 ล้านบาทรวมถึงลงทุนเพิ่มในกองทรัสต์ LHHOTEL มูลค่า 1,952 ล้านบาท ดันสัดส่วนลงทุนเพิ่มเป็น 26.17% จากเดิม 14.73% ซึ่งบริษัทฯ ได้ยีลด์จากการลงทุนเฉลี่ย 10% ต่อปี

  "ปีที่ผ่านมาบริษัทขาย โรงแรม แกรนด์ เซ็นเตอร์ พอยต์ พัทยา และแกรนด์ เซ็นเตอร์ พอยต์ สเคป พัทยา ให้กับกองทรัสต์ LHHOTEL มูลค่า 9,400 ล้านบาท มีกำไรก่อนภาษี 2,500 ล้ายบาทในไตรมาส 4 ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ในงบกำไรขาดทุนปี 2567-2575"

บริษัทยังมีแผนออกหุ้นกู้มูลค่ารวม 16,000 ล้านบาทปีนี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการออกหุ้นกู้เพื่อทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิมที่ครบกำหนดอายุ โดยคาดว่าอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) หลังจากที่ออกหุ้นกู้ชุดใหม่จะยังคงอยู่ในระดับใกล้เคียงที่ระดับ 1 เท่า เป็น D/E ที่ลดลงจาก ณ สิ้นปี 2566 ที่ 1.12 เท่า 

และมีแผนที่จะขายศูนย์การค้า 1 แห่ง คือเทอร์มินอล 21 พัทยา มูลค่าประมาณ 5,000 ล้านบาท เข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ แอล เอช ช้อปปิ้ง เซ็นเตอร์ หรือ LHSC

“การออกหุ้นกู้ในปีนี้ยังถือว่าเผชิญความท้าทายจากตลาดด้านความเชื่อมั่นของนักลงทุนอยู่บ้าง ทำให้ยังมีความเสี่ยงในด้านการขายที่อาจไม่ได้เป็นไปตามแผน แต่ก็เตรียมแนวทางในการขอวงเงินสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์เพื่อรองรับ โดยการนำโครงการที่เตรียมพัฒนาไปเสนอขอวงเงินหากการขายหุ้นกู้ไม่เป็นไปตามแผน ” 

นอกจากนี้ ปัจจุบันบริษัทยังมีที่ดินในมือ ซึ่งเป็นที่ดินที่ไม่ได้อยู่ในแผนพัฒนาปีนี้ มูลค่ารวม 15,000 ล้านบาทโดยรวมปีนี้บริษัทเตรียมงบลงทุนรวม 11,500 ล้านบาท แบ่งเป็น งบสำหรับซื้อที่ดินเพื่อการพัฒนาที่อยู่อาศัย 5,000 ล้านบาท งบลงทุนด้านอสังหาเพื่อเช่า 6,500 ล้านบาท ลงทุนก่อสร้างโรงแรมภายในไทย 3 แห่ง ได้แก่ ราชดำริ, ลุมพินี และพัทยา 3 รวมา 4,000 ล้านบาท ส่วนอีก 2,500 ล้านบาท เป็นการลงทุนโรงแรมในลอส แองเจลีส สหรัฐ

“ปี 2567 เราวางเป้าหมายรายได้รวม่ 36,540 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ 28,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมียอดขายรอโอน (Backlog) ในมือมูลค่า 5,000 ล้านบาท และรายได้จากอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า 8,540 ล้านบาท”