วิธีรับมือจักรวรรดินิยมจีนต่อธุรกิจไทย | โสภณ พรโชคชัย
ตอนนี้ธุรกิจจีนขยายตัวอย่างบ้าคลั่งเข้ามาในประเทศไทย หลายคนกังวลว่าไทยจะกลายเป็นเมืองขึ้นทางเศรษฐกิจของจีนไป เราจะรับมือจีนได้อย่างไรบ้าง
เราต้องยอมรับความจริงประการหนึ่งว่า จีนในขณะนี้เป็นจักรวรรดินิยมใหญ่ที่มีทุนมหาศาล รวมทั้งทุนมนุษย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก จนต้องส่งออกทุนมนุษย์ไปต่างประเทศ จีนในอดีตก็ขยายอิทธิพลไปทั่ว เช่น กลืนซินเกียง ทิเบต ยูนาน แมนจูเรีย บางส่วนของมองโกเลีย
แต่ในยุคปัจจุบัน เขาไม่ใช้กองกำลังทหารบุกกันแล้ว เขาใช้เทคโนโลยี ใช้เงินบุกหนักมาก เช่น อย่างในทวีปอาฟริกา จีนบุกหนักจนทำให้ประเทศต่างๆ ตกเป็นเบี้ยล่างด้วยการให้โครงการเงินกู้ระยะยาวเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน และกลายเป็นหนี้สินล้นพ้นตัว ทำให้กลายเป็นประเทศกึ่งเมืองขึ้นของจีนไปแล้ว
ในทำนองเดียวกัน แม้แต่กรณีปากีสถาน ศรีลังกา ลาว เมียนมา และกัมพูชาก็ถูกครอบงำหนักเช่นกัน หลังจากมีเหตุประท้วงการครอบงำของจีนที่ประเทศหมู่เกาะโซโลมอน
จีนถึงขนาดส่งตำรวจจีนไปประจำการเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนอยู่ที่นั่นด้วย แถมยังมีการส่งตำรวจหมู่เกาะโซโลมอนไปฝีกตำรวจในจีนอีกต่างหาก ขณะนี้อิทธิพลจีนขยายตัวอย่างมากมายในประเทศหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกหลายแห่ง
ในประเทศไทย มีพวกคนไทยเชื้อสายจีนบางส่วนที่มีสำนึกว่าตนเองคนจีนมากกว่าคนไทย โดยเฉพาะพวกคหบดีที่ค้าขายกับจีนจนร่ำรวย ตลอดจนนักวิชาการด้านจีน และ “สื่อมวลชนปีศาจ” ที่ตะบี้ตะบันเข้าข้างจีนอย่างไม่ลืมหูลืมตา พวกนี้พยายามที่จะช่วยจีนขยายอิทธิพลทางการค้า
ในโลกยุคใหม่นี้ มีเพียงจักรวรรดินิยมจีนที่ส่งออกประชากรไป “กินเมือง” ไปทั่วโลกพร้อมเงินและปัจจัยสนับสนุนจากรัฐบาล ไม่ใช่ประเภทอพยพแบบเสื่อผืนหมอนใบในสมัยก่อน ยิ่งกว่านั้นการค้าขายก็เอาเปรียบชาวบ้านในแต่ละประเทศอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
หลายคนบอกว่า เราพึงรับมือจีนด้วยการปรับตัวเพิ่มความรู้ เพิ่มทักษะ ซึ่งเป็นข้อแนะนำแบบกำปั้นทุบดิน ทำไปก็ไม่มีวันสำเร็จกับกระแสจักรวรรดินิยมที่เชี่ยวกรากของจีน
เราจะรับมือจีนได้ ก็ต่อเมื่อ:
1. เราต้องให้นักลงทุนจีนปฏิบัติตามกฎหมายไทยอย่างเคร่งครัด จะมาตั้งนอมินีแสร้งเป็นบริษัทคนไทยแล้วมาซื้อบ้าน ที่ดินและห้องชุดไปทั่ว หรือประกอบธุรกิจทำ “ล้ง” ซื้อสินค้าเกษตรสารพัดไม่ได้
รัฐบาลไทยต้องจับ-ปรับคนจีนทำผิดกฎหมายนี้ อย่างไรก็ตามกลับปรากฏว่ามีคนไทยใจ (ทาส) จีนบางคนกลับเสนอให้นิรโทษกรรมหรือเลิกถือว่าการตั้งนอมินีเป็นสิ่งผิดกฎหมายไป
2. การตรวจสอบการทำงานของข้าราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น พบเจ้าหน้าที่ใดรู้เห็นกับการทำนิติกรรมอำพรางแบบนอมินี หรือปล่อยให้มีการสวมบัตรประชาชนคนไทยอย่างผิดกฎหมาย ต้องลงโทษตามกฎหมาย จะได้ “เชือดไก่ให้ลิงดู”
ยิ่งกว่านั้น หากพบนักวิชาชีพ เช่น ทนายหรือนักวิชาชีพอื่นที่สมคบกับคนจีนหรือคนต่างชาติอื่นใด จัดตั้งบริษัทนอมินี รัฐบาลใหม่ก็ควรยึดใบประกอบวิชาชีพ
3. ในการป้องกันการผูกขาดแบบล้งจีน รัฐบาลพึงให้เกษตรกรทั้งลำไย ทุเรียน มังคุดหรือพืชผักผลไม้อื่นๆ ในแต่ละท้องถิ่นจัดตั้งเป็นสหกรณ์ขึ้นมา และให้นักธุรกิจจีนติดต่อกับสหกรณ์เหล่านี้ ไม่ปล่อยให้ไปบีบซื้อขายตรงกับเจ้าของสวน
อย่าไปเกรงใจจีนที่ราคาสินค้าต้นทางนี้จะสูงขึ้นสัก 10-20% เพราะเมื่อเขานำไปขายในจีน ราคาเพิ่มขึ้นหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ ยิ่งกว่านั้นยังควรสนับสนุนให้สหกรณ์มีเงินทุนเพียงพอที่จะให้กู้กับเกษตรกร ผลผลิตจะได้ไม่ถูก “ตกเขียว” ตั้งแต่แรก
4. ปรับปรุงระบบกฎหมายใหม่ เช่น
4.1 ทำแบบไต้หวัน คือต่างชาติที่มาซื้อห้องชุด ต้องไม่ขายต่อในระยะเวลา 3 ปีแรก เพื่อป้องกันมามาเก็งกำไร
4.2 ทำแบบออสเตรเลียที่ให้ต่างชาติซื้อขายได้แต่บ้านมือหนึ่ง บ้านมือสองห้ามแตะ จะได้ไม่มาแย่งซื้อบ้านกับคนในประเทศ และหากต่างชาติขายบ้านที่ซื้อไว้กันเอง (ซึ่งมีสถานะเป็นบ้านมือสองแล้ว) ถือว่าผิดกฎหมาย ออสเตรเลียสั่งปรับคนละประมาณ 3 ล้านบาท และติดคุก 3 ปี
ส่วนขณะนี้นิวซีแลนด์และแคนาดาสั่งห้ามต่างชาติไปซื้อบ้านแล้วเพราะความจริงไม่ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจดังอ้าง เขากลัวจีนจะไปครอบงำ
4.3 ทำแบบมาเลเซียและอินโดนีเซีย โดยกำหนดให้ต่างชาติสามารถซื้ออสังหาริมทรัพย์ได้ในราคาที่สูงกว่าคนทั่วไป จะได้ไม่มาแย่งคนในชาติซื้อบ้าน เช่น มาเลเซียกำหนดราคาบ้านที่ต่างชาติจะซื้อต้องไม่น้อยกว่า 8-16 ล้านบาท
แต่ในไทยต่างชาติซื้อบ้านในราคาพอๆ กับคนไทยซื้อ อย่างนี้เป็นการปล่อยให้ต่างชาติมาแย่งซื้อบ้านกับคนไทย เพียงเพื่อเห็นแก่นักพัฒนาที่ดินบางรายที่ค้าขายกับคนต่างชาติเท่านั้น
4.4 ยกเลิกประกาศของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนในสมัย พล.อ.ประยุทธ์ที่ให้ต่างชาติที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนสามารถซื้อที่ดินได้ 5 ไร่ (นอกนิคมอุตสาหกรรมตรงไหนก็ได้) แถมซื้อที่ดินได้ 10 ไร่ไว้ให้ผู้บริหารอยู่ และอีก 20 ไร่ให้คนงานของกิจการนั้นอยู่ โดยอาจตั้งอยู่คนละที่กันก็ได้ ประกาศนี้ถือเป็นประกาศ “ขายชาติ” อย่างชัดเจน
4.5 เลิกระเบียบของเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซีที่ให้ต่างชาติเช่าที่ดินได้ถึง 99 ปีและซื้อห้องชุดได้ถึง 100% แถมใช้เงินตราต่างประเทศในไทยได้อีกต่างหาก
5. ปรับปรุงระบบภาษีโดยใช้เฉพาะคนต่างชาติที่มาซื้อบ้านในไทย ซึ่งเป็นมาตรการเดียวกับที่คนไทยไปซื้อบ้านในต่างประเทศ เช่น
5.1 ทำแบบสิงคโปร์ที่เก็บภาษีคนต่างชาติมาซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่ 60% ของราคาตลาดเพื่อป้องกันการครอบงำของจีน หรืออย่างน้อย ก็เก็บ 30% ในกรณีของฮ่องกง
5.2 จัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ 1-3% ของราคาตลาดจริงทุกปี (แต่ในไทยเก็บตามราคาประเมินราชการซึ่งต่ำมากแถมยกเว้นบ้านราคา 50 ล้านบาทแรกตามราคาประเมินราชการ)
5.3 จัดเก็บภาษีกำไรจากการขายที่ 20% ของราคาตลาดจริง
5.4 จัดเก็บภาษีมรดก เช่น ที่ญี่ปุ่น ทรัพย์สินที่มีราคาตลาดจริง 150 ล้านบาทขึ้นไป จะถูกจัดเก็บในอัตราสูงสุดถึง 55% ของราคาตลาดจริง (แต่ในไทยเก็บตามราคาประเมินราชการที่ต่ำมากๆ แถมยังเก็บตั้งแต่ทรัพย์ที่มีราคา100 ล้านบาทขึ้นไปตามราคาประเมินราชการ)
6. ตรวจสอบการประกอบกิจการของคนต่างด้าวอย่างเคร่งครัด ไม่ว่าจะเป็นจีน รัสเซีย หรือชาติอื่นใด โดยผู้ตรวจสอบอาจเป็นกองปราบปราม กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรืออื่นใด แต่ไม่ใช่ตำรวจท้องถิ่นเพื่อป้องกันการทุจริต และกองกำลังตรวจสอบของหน่วยงานเหล่านี้ก็ควรได้รับการตรวจสอบเป็นระยะๆ เช่นกันเพื่อป้องกันการทุจริต
7. ไทยอาจใช้มาตรการเฉพาะกับคนจีน เช่น รัฐบาลไทยอาจให้คนจีนซื้อห้องชุดอยู่ได้ไม่เกิน 70 ปี เช่นที่รัฐบาลจีนให้สิทธิแค่นี้แก่คนจีนในประเทศจีนเอง หรือให้คนอื่นเช่าที่ดินได้ไม่เกิน 30-50 ปีเพื่อประกอบธุรกิจ (ไม่ให้ซื้อหรือเช่ายาวกว่านี้)
นอกจากนี้ยังพึงส่งเสริมให้คนงานไทยในโรงงานจีนตั้งสหภาพแรงงานให้ครบทุกแห่ง เหมือนกับที่จีนสั่งโรงงานต่างชาติให้ยอมให้มีการตั้งสาขาพรรคคอมมิวนิสต์จีนในแต่ละโรงงาน
ถ้าไทยไม่รีบออกมาตรการป้องกัน ไทยก็จะเป็นมณฑลหนึ่งของจีนในไม่ช้า
คอลัมน์ อสังหาริมทรัพย์ต่างแดน
ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส
www.area.co.th