ข้าวเหนียวมะม่วงไทยดังกระหึ่มโลกพร้อมทำสถิติกินเนสส์บุ๊ค

ข้าวเหนียวมะม่วงไทยดังกระหึ่มโลกพร้อมทำสถิติกินเนสส์บุ๊ค

ในวันอาทิตย์ที่ 20มกราคม 2562 ณ ริมทะเลสาบ เมืองทองธานี แจ้งวัฒนะ โดยจะเชิญนักท่องเที่ยวชาวจีนจำนวน 1 หมื่นคน มาร่วมรับประทานอาหารไทย

 

กิจกรรมเทศกาลอาหารไทยสำหรับนักท่องเที่ยวชาวจีน เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ภายใต้คอนเซ็ปท์ Wwe Care ในวันอาทิตย์ที่ 20มกราคม 2562 ณ ริมทะเลสาบ เมืองทองธานี แจ้งวัฒนะ โดยจะเชิญนักท่องเที่ยวชาวจีนจำนวน 1 หมื่นคน มาร่วมรับประทานอาหารไทยจำนวน 1,250 โต๊ะ(โต๊ะละ 8 คน) เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศ และสร้างภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของไทยและอาหารไทยให้เป็นที่รู้จักในตลาดโลก 

 

งานนี้จัดโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือสนช. กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว(แอตต้า) สมาคมภัตตาคารไทย สมาคมผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวสัมพันธ์ไทย-จีน สมาคมวิเทศพาณิชย์ไทย-จีน สมาคมแต้จิ๋วแห่งประเทศไทย สมาคมจีนโผวเล้งแห่งประเทศไทย สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ

 

สิ่งที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ของงานคือ การสร้างสถิติระดับโลกในการจัดทำข้าวเหนียวมะม่วงจำนวนมากที่สุดในโลก (Guinness World Records) โดยได้เชิญ Guinness World Records องค์กรระดับโลกในการเข้าร่วมเป็นพยานในการทำสถิติข้าวเหนียวมะม่วงในครั้งนี้ โดยจะเป็นการท้าชิงจากสถิติเดิมที่ดูไบเคยทำไว้ ( ปี2559)

 

ในครั้งนั้นดูไบเคยทำสถิติไว้ 1,000 กิโลกรัม (ข้าวเหนียวดิบ) ซึ่งเมื่อ(นึ่งและมูน)แล้วได้ 2,800 กิโลกรัม ส่วนของไทยที่จะท้าชิงในครั้งนี้จะเป็นข้าวเหนียวดิบ 1,500 กิโลกรัม และมี(เนื้อมะพร้าวสำหรับคั้นนน้ำกะทิสดอีก) 3000 กิโลกรัม น้ำตาลทราย (750 )กิโลกรัม มะม่วงอีก 3000 กิโลกรัม ซึ่งจะทำให้น้ำหนักเกิน 5000 กิโลกรัมอย่างแน่นอน

 

ว่าแต่ว่า งานนี้ก็ไม่ใช่ง่ายๆ จะต้องมีการหาข้าวเหนียว กะทิ และมะม่วงมามากขนาดไหน จะมูนข้าวเหนียวอย่างไร ต้องใช้แรงงานคนมากขนาดไหน ที่จะพิชิตดูไบ เรามาฟังคำตอบจาก คุณกัญจณ์ เครือแก้ว (Kan Krueakaew) เจ้าของร้านส้มตำคุณกัญจณ์ ซึ่งไม่เพียงคว้าแชมป์ส้มตำของประเทศไทย แต่ยังมีฝีมือทำข้าวเหนียวมะม่วงระดับพระกาฬ ที่ใครๆชิมแล้วก็บอกว่าอร่อยมาก และเป็นไฮไลท์ที่ใครๆต้องไปชิมที่ร้านของเขา และเขาจะเป็นเชฟใหญ่การทำข้าวเหนียวในงานครั้งนี้ ความอร่อยของที่ร้านไม่ต้องบอกว่าขนาดไหน เพราะเพิ่งได้รับมิชลิน เพลท ถึง 3 เมนูในปีนี้เอง ซึ่งเป็นการการันตีความอร่อยระดับมิชลิน

 

เรานั่งคุยในบรรยากาศสบายๆที่ร้านย่านสุขุมวิท (101/1) คุณกัญจณ์เริ่มต้นเล่าถึงที่มาของการทำข้าวเหนียวว่า ได้มาจากเชฟประสาน ศรีโสภณ (Prasarn Srisopon) ซึ่งเป็นเชฟหลักในการดูแลอาหารไทยของโอเรียนเต็ล ซึ่งตนนั้นอยากขายข้าวเหนียวมะม่วงแต่ต้องการกูรูผู้รู้ จึงได้ไปปรึกษาเชฟประสาน และไม่ใช่ว่าเชฟจะสอนให้ง่ายๆ แต่ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก แต่ในที่สุดก็ได้รับการถ่ายทอดออกมา และกลายเป็นสูตรเด็ดเคล็ดลับจนทุกวันนี้  ความตั้งใจในครั้งนี้ของเขามีสูงมาก เพราะถือเป็นบทบาทในการทำข้าวเหนียวมะม่วงเพื่อประเทศชาติบ้านเมืองเลยทีเดียว 

 

“ครั้งแรกที่ได้รับการทาบทามจากพี่เหมียว ฐนิวรรณ กุลมงคล (Taniwan Koonmongkon) นายกสมาคมภัตตาคารไทยก็รู้สึกตกใจ ไม่นึกว่าจะได้รับเกียรติเช่นนี้ และถือเป็นความภูมิใจที่ได้ทำเพื่อประเทศไทย และการท่องเที่ยวของไทย โดยการทำงานให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยหรือททท.เพื่อที่จะดึงนักท่องเที่ยวชาวจีนให้กลับมาอีกครั้ง ผมเองก็เรียกงานนี้ว่าโปรเจคท์กู้ชาติ” การเตรียมงานของเขานั้นเริ่มขึ้นตั่งแต่ก่อนหน้างานวันที่ 20 นับเป็นเดือนๆ คือการติดต่อขอซื้อข้าวเหนียวเขี้ยวงูจากจังหวัดเชียงราย ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นราชาแห่งข้าวเหนียว เมื่อ(นึ่ง)สุกและมูนออกมาจะอร่อยมาก

 

“จากประสบการณ์ของผมในการทำอาหารมานาน หากจะมา(นึ่ง)ข้าวเหนียวในซึ้ง อาจทำให้สุกไม่เท่ากัน ก็เลยจะใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านแบบเดิมคือนึ่งในหวด ซึ่งเป็นภูมิปัญญาการ(นึ่ง)ข้าวเหนียวของชาวอีสาน และผมเองก็เป็นลูกข้าวเหนียวอยู่แล้ว เป็นชาวศรีสะเกษ ทำให้มั่นใจว่าวิธีการ(นึ่ง)แบบนี้ค่อนข้างดีกว่าแบบอื่น”

 

เรามาฟังขั้นตอนการ(นึ่ง)ข้าวของเขากัน เริ่มจากเราจะต้องทำการแช่ข้าวเหนียว 1 คืนใส่ในกะละมัง โดยจะใช้ข้าวเหนียวจำนวน 1,500 กิโลกรัม ก่อนที่รุ่งเช้าจะเริ่มทำการนึ่ง 

เนื่องจากต้องทำให้ได้ข้าวเหนียวจำนวนมาก ผมจะใช้หวดนับเป็นร้อยๆ ใบ ใช้หวดเบอร์ใหญ่สุด ใส่ข้าวครั้งละ 4 กิโลต่อหวด จัดให้นึ่งจำนวนครั้งละ 52 หวดต่อรอบ = นึ่งข้าวได้ 208 kg.ต่อรอบ และ นึ่งทั้งหมด 8 รอบ ก็จะสามารถนึ่งและมูนข้าวเหนียว 1,500 kg. ได้สำเร็จทั้งหมดภายใน 9 ชม. 

 

ต่อมาคือการเริ่มการมูนข้าวเหนียว การมูนคือวิธีการผสมน้ำกะทิสดปรุงรสด้วยน้ำตาลและเกลือตามสูตรลับเฉพาะ จนได้ที่ แล้วผสมน้ำกะทิเข้มข้นนี้กับข้าวเหนียวนึ่งสุกใหม่ๆ ร้อนๆ เพื่อให้เกิดกระบวนการดูดซึมน้ำกะทินี้จนเกิดเป็นข้าวเหนียวมูนรสชาติเข้มข้นหอมมันไม่เหมือนใคร โดยระหว่างที่มูนในช่วงแรกจะมีการคนข้าวด้วยไม้พายลงไปในข้าวเหนียวอย่างเบามือแล้วคนให้เข้ากันจากนั้นรอให้ข้าวเหนียวเซทตัว(อิ่มน้ำกะทิ)ต่ออีก 1 ชม. ก็จะได้ข้าวเหนียวมูนรสชาติดี นุ่มนวล หอมหวาน มัน อร่อย ขั้นตอนทั้งหมดนี้ต้องเริ่มการ(นึ่ง)ข้าวและมูนตั้งแต่เวลา 6 โมงเช้าเพื่อให้ทุกอย่างแล้วเสร็จภายในบ่าย 2 และจะมีการใช้แรงงานคนนับเป็นร้อยคนเพื่อให้ภารกิจนี้แล้วเสร็จ

 

ต่อมาจะนำไปใส่ในจานยักษ์ ซึ่งสามารถจุข้าวเหนียวได้จำนวนมาก (ขนาดจาน 350 คูณ 700 คูณ 90 เซนติเมตร) โดยคาดว่าจะมีน้ำหนักของข้าวเหนียวมูนประมาณ 4 พันกิโลกรัม จึงจะไปสู่การฝานมะม่วงวางลงบนข้าวเหนียวอีกครั้ง ซึ่งจะเป็นอีกส่วนงานที่รับผิดชอบ แม้อาจจะต้องใช้เวลา 2 วัน 1 คืนและไม่ได้หลับไม่ได้นอน เพื่อภารกิจนี้ แต่เขาและทีมงานทุกๆคนล้วนยินดีเป็นอย่างมาก เพื่อร่วมสร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทย ใช้กะทิจากมะพร้าวคุณภาพและมะม่วงน้ำดอกไม้และมะม่วงอกร่อง

 

อีกหนึ่งหัวเรียวหัวแรงสำคัญ ฐนิวรรณ กุลมงคล รองประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและนายกสมาคมภัตตาคารไทยเล่าเสริมว่า น้ำกะทิที่จะใช้ในการมูนข้าวเหนียว จะเป็นกะทิสดซึ่งได้มาจากมะพร้าวของตลาดเทพเจริญ 9 ผู้ส่งออกมะพร้าวรายใหญ่ของประเทศไทย คั้นโดยโรงงานวรางคณากะทิสดซึ่งมีโรงงานมาตรฐานสากลอยู่ที่ราชบุรีและนครปฐมและเป็นกะทิมาจากมะพร้าวทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อให้ได้กะทิสดที่อร่อยและเข้มข้น  ส่วนมะม่วงจะมาจากมะม่วงน้ำดอกไม้และมะม่วงอกร่อง ที่บางแพ ราชบุรี ซึ่งมีรสชาติดี อร่อย โดยจะนำมาฝานเสริฟท่านละครึ่งลูก และหั่นตามขวางเพื่อให้รับประทานง่าย

ทุกกระบวนการสมาคมภัตตาคารจะมีทีมงานเข้าไปช่วยดูแล ถือเป็นความร่วมมือร่วมใจของร้านอาหาร ภัตตาคารต่างๆ และสถานศึกษา ที่จะช่วยกันเข้ามาทำภารกิจนี้ให้ลุล่วง โดยจะใช้คนมากกว่า 100 คน  เช่น ร้านก.พานิช ,ร้าน Blue Rice ,Gourmet Primo ,มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ,มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ รวมทั้งได้รับการสนับสนุนระบบแก๊สจำนวน 53 ชุดจากบริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน)

ข้าวเหนียวพันธุ์เขี้ยวงู เป็นข้าวพันธุ์พื้นเมืองดั้งเดิมมีลักษณะเมล็ดเล็ก เรียวยาว สวยงาม เมื่อนึ่งสุกแล้วข้าวมีสีขาว การเกาะตัวเหนียวแต่ไม่เละ ผิวมีความเลื่อมมันค่อนข้างมาก  และเชื่อมั่นว่าจะทำให้ได้ข้าวเหนียวเกิน 4 พันกิโลกรัม สามารถบันทึกสถิติของกินเนสบุ๊คอย่างแน่นอน

ททท.พร้อมสนับสนุนกิจกรรม  นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมสินค้าการท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ททท.ได้เลือกเมนูอาหารคือข้าวเหนียวมะม่วงเข้าร่วมในครั้งนี้ เพราะเป็นของหวานของไทยที่ไดรับความนิยมไปทั่วโลก และต้องการสร้างสถิติระดับโลกในการจัดทำข้าวเหนียวมะม่วงจำนวนมากที่สุดในโลก(Guinness World Records) หลังจากปีที่แล้ว ททท.เคยสนับสนุนการสร้างสถิติระดับโลกในการจัดบุฟเฟ่ต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ด้วยเมนูอาหารไทยที่หลากหลาย จำนวน 5,829 ชนิด (สถิติเดิม 5,612 จากอินเดีย) ความยาวกว่า 2.5 กิโลเมตร ณ ริมทะเลชายหาดเฉวง อำเภอเกาะสมุยมาแล้วราชาแห่งข้าวเหนียวทั้งปวงเนื้อสัมผัสนุ่มและมีกลิ่นหอม

และแล้วก็ถึงเวลาที่เราต้องตามรอยว่าทำไมคุณกัญจณ์เลือกใช้ข้าวเหนียวเขี้ยวงู ข้าวเหนียวเขี้ยวงู เป็นพันธุ์พื้นเมืองของจังหวัดเชียงรายที่ถูกขนานนามว่าเป็นราชาของข้าวเหนียวทั้งปวง ข้าวมีกลิ่นหอม รสชาติอร่อย ถือว่าเป็นข้าวมีคุณภาพดีมากถึงมากที่สุด จึงเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมาก นอกจากนี้ยังเป็นข้าวเหนียวที่มีปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidants) ในรูปของวิตามินอี โดยเฉพาะวิตามินอีในรูป Mixed tocopherols ซึ่งข้าวเหนียวพันธุ์เขี้ยวงูนี้ พบว่าค่ามีแอลฟาสูงมาก โดยมีบทบาทสำคัญในขบวนการ Metabolism ในร่างกาย การนำมาแปรรูปนั้น อาหารประเภทของหวานที่ต้องใช้ข้าวเหนียวมูนเป็นหลัก เช่น ข้าวเหนียวมะม่วง ข้าวเหนียวทุเรียน ข้าวหลาม ไอศกรีม ขนมไทยหรือข้าวเหนียวหน้าต่างๆ เป็นต้น

 

ส่วนมะม่วงบางแพ ราชบุรีนั้น ถือได้ว่าเป็นมะม่วงเกรดส่งออก สามารถผลิตมะม่วงได้ตลอดทั้งปี โดยจัดตั้งเป็นกลุ่มวิสาหกิจชุมชน พัฒนาการผลิตและปรับปรุงคุณภาพของมะม่วง ทำให้ได้ผลผลิตที่ดีเป็นที่ต้องการของตลาด และยังได้รับการรับรองมาตรฐาน Good Manufacturing Practice (GMP) สามารถส่งออกผลิตภัณฑ์ขายได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ  ขณะที่มะพร้าวทับสะแก ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งจะนำมาทำเป็นกะทินั้น เป็นมะพร้าวยอดนิยมมาก เพราะมีขนาดของผลใหญ่ให้เนื้อที่เยอะกว่ามะพร้าวทั่วไป น้ำกะทิเข้มข้น เลยทำให้มะพร้าวทับสะแกเป็นที่นิยมปลูกกันแพร่หลาย มะพร้าวทับสะแก มีชื่อเสียงมานานตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

อย่างนี้คงถึงเวลาต้องไปเชียร์ไทยให้ทำลายสถิติกินเนสส์บุ๊คกันแล้วค่ะ