MQDC ตอกย้ำกลยุทธ์องค์กรด้าน Well-Being

MQDC ตอกย้ำกลยุทธ์องค์กรด้าน Well-Being

 

MQDC ตอกย้ำกลยุทธ์องค์กรด้าน Well-Being ส่งเสริมสุขภาพและคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ผ่านเทคโนโลยีและนวัตกรรมโดยเปิดตัวบ้านอัจฉริยะยุคใหม่  “Home Intelligent System”

กรุงเทพฯ 22 มิถุนายน 2560บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เจ้าของและผู้พัฒนาโครงการที่พักอาศัยและมิกซ์ยูสคุณภาพ แบรนด์แมกโนเลียส์ (Magnolias) และวิสซ์ดอม (Whizdom) เปิดตัวระบบการปฏิบัติการ FULLY- INTEGRATED HOME INTELLIGENT SYSTEM FOR WELL-BEING นวัตกรรมบ้านอัจฉริยะที่จะ

ช่วยส่งเสริมสุขภาพและคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ ความสะดวกสบายของผู้อยู่อาศัยให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน  เพื่อตอบโจทย์แบรนด์ดีเอ็นเอหรือแก่นแท้ของแบรนด์ที่ว่าด้วยเรื่อง ‘Sustainnovation’ อย่างเต็มรูปแบบ พร้อมเปิดตัวนวัตกรรม การบูรณาการ การวัดค่าคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ หรือ Co2  และ ERV หรือ Energy Recovery Ventilation  ซึ่งเป็นระบบปรับคุณภาพอากาศในอาคารเป็นรายแรกของไทยเสริมระบบบ้านอัจริยะ(Home Intelligent System) ให้สมบูรณ์แบบในทุกมิติ

การเอาใจใส่ส่งเสริมให้ลูกบ้านผู้อยู่อาศัย ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น (Well-being) ในทุกด้านคือหัวใจการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ของ MQDCดังนั้นเราจึงมุ่งมั่นสร้างสรรค์นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่สามารถทำให้ “ชีวิต”ของผู้อยู่อาศัยสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น MQDCยังพัฒนานวัตกรรมที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพของผู้อยู่อาศัยอีกด้วย โดยเฉพาะคุณภาพอากาศภายในอาคาร (Indoor Air Quality - IAQ) ซึ่งนับเป็น “ภัยร้าย” ที่แฝงตัวอยู่ในชีวิตประจำวันของเราทุกคนผ่านการใช้ชีวิตในห้องปรับอากาศทั้งในเวลากลางวันกลางคืน ทั้งที่ทำงานและที่พักอาศัย

MQDC จึงได้นำระบบ Home Intelligent System ที่เน้นการส่งเสริมด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นโดยผ่านการพัฒนาระบบคุณภาพอากาศภายในโดยใช้ ERV หรือ ที่เรียกว่า Energy Recovery Ventilation ซึ่งเป็นหนึ่งในกลไกนวัตกรรมที่เป็นไฮไลท์สำคัญของระบบบ้านอัจฉริยะ ซึ่งช่วยให้เกิดการถ่ายเท หมุนเวียนอากาศที่ดีเข้ามาในที่อยู่อาศัยเพื่อเพิ่มปริมาณอ็อกซิเจนในห้องปรับอากาศให้เหมาะสมกับปริมาณผู้ที่อยู่อาศัย

ดร.จิตพัต ฉอเรืองวิวัฒน์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (The Research and Innovation for Sustainability Center– RISC)  บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) เปิดเผยว่า ซึ่งจากงานวิจัยของหน่วยงานที่เรียกว่า International Centre for Indoor Environment and Energy, Department of Civil Engineering, Technical University of Denmark (http://orbit.dtu.dk/fedora/objects/orbit:134384/datastreams/file_a24346bd-b582-483e-b3f4-2efbc42682aa/content) พบว่าการอยู่ในห้องปรับอากาศ เป็นเวลานานจะส่งผลเสียต่อสุขภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เนื่องจากในห้องปรับอากาศนั้นจะมีปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่มาจากการหายใจออก การเผาผลาญของร่างกาย ของผู้อยู่อาศัยในห้องเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลต่อร่างกาย โดยส่งผลให้มีอาการเพลีย ง่วงนอน ปวดศรีษะ และเหนื่อยง่าย รวมถึงมีผลต่อการตัดสินใจ และประสิทธิภาพการทำงาน

ขณะที่ ระบบ ERV (Energy Recovery Ventilation) เป็นเทคโนโลยีที่เป็นไฮไลท์สำคัญของ Home Intelligent System  โดยระบบ ERV จะทำงานสัมพันธ์กับระบบอื่นๆ ของระบบเทคโนโลยีบ้านอัจฉริยะ (Home Intelligent System) จะช่วยถ่ายเทให้ห้องที่เราอยู่มีอากาศที่มีคุณภาพที่ดีขึ้นและมีผลดีต่อสุขภาพ โดยระบบนี้จะตรวจวัดคุณภาพอากาศ (คาร์บอนไดอ๊อกไซด์ หรือ CO2) ภายในห้องนอนและห้องนั่งเล่นตลอดเวลา หากพบว่ามีปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ CO2 มากกว่าที่กำหนดไว้ ระบบจะทำการเชื่อมโยงอัตโนมัติไปยังเครื่อง ERV เพื่อเติมอากาศจากด้านนอกเข้ามาภายในห้อง และนำอากาศในห้องออกสู่ภายนอกบ้าน/อาคาร จนสภาพอากาศมีปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ลดน้อยลงจนเหมาะกับการพักผ่อนที่มีคุณภาพ

ปริมาณ CO2 และคุณภาพอากาศภายในอาคาร เป็นสิ่งสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพ เฉลี่ยแล้วคนใช้ชีวิตร้อยละ 90 ในการทำกิจกรรมอยู่ภายในอาคาร ดังนั้นหากอาคารมีการระบายอากาศที่ไม่เพียงพอจะทำให้สารระเหยหรือมลพิษในอากาศสะสมอยู่ภายในอาคารได้รวมทั้งปริมาณ CO2 ที่เกิดจากการหายใจเผาผลาญของร่างกายของผู้ใช้งานอาคาร ก็อาจสะสมจนมีปริมาณมากขึ้นจนกระทบต่อสุขภาพได้

“ทุกวันนี้เราอยู่ในห้องแอร์ปรับอากาศแทบจะตลอดเวลา ทั้งเวลาทำงาน ที่บ้าน ห้องนอน ซึ่งห้องปรับอากาศส่วนใหญ่จะไม่มีระบบอากาศหมุนเวียนจากภายนอกเข้ามา ทำให้เราหายใจเอาอากาศเก่าเข้า

ร่างกายตลอดเวลา ทำให้เรารับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มากกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งในเบื้องต้น ร่างกายจะไม่แสดงอาการอะไรออกมา จนกว่าจะเกิดการสะสมในระยะยาว ซึ่งจะส่งผลให้เกิดโรคต่างๆ มากมายเช่นความจำเสื่อมของผู้สูงวัย หรือสมองพัฒนาล่าช้าสำหรับวัยเด็ก ฯลฯ”ดร.จิตพัต กล่าวและย้ำว่า หากใครที่ไม่มีระบบ ERV ก็สามารถเติมอ๊อกซิเจนเข้ามาในห้องนอนได้ ด้วยการแง้มประตู กระจก หรือเปิดเครื่องดูดอากาศในห้องนอนให้อากาศจากด้านนอกมีโอกาสไหลเวียนเข้ามาในห้องนอนเพื่อลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลดลง ทั้งนี้ระดับค่าคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นระดับมาตรฐานที่จะมีผลกระทบน้อยต่อสุขภาพคือที่ระดับต่ำกว่า 1000 ppm  (1 PPM =1 part per million หรือ 1 1 000 000 ส่วน)

ระบบเทคโนโลยีบ้านอัจฉริยะ (Home Intelligent System) เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีนวัตกรรมที่ MQDC จะนำมาติดตั้งในโครงการ วิสซ์ดอม สเตชั่นรัชดา-ท่าพระ ที่จะเปิดในช่วงไตรมาส 3 ปี 2561 เป็นโครงการแรก ซึ่งถือเป็นโครงการแรกในประเทศไทย และของ MQDCที่ติดตั้งระบบพัฒนาคุณภาพอากาศภายในอาคาร (Indoor Air Quality -IAQ)

ทั้งนี้ MQDC มองเห็นถึงความจำเป็นในการพัฒนาคุณภาพอากาศภายในอาคารโดยทั้งตัวอาคารและห้องพักในทุกโครงการของ MQDC ถูกออกแบบให้มีอากาศถ่ายเทได้ดี เพื่อให้ผู้พักอาศัยได้รับอากาศที่มีคุณภาพอย่างเต็มที่ ซึ่ง MQDC ถือเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ รายแรกเพียงรายเดียวที่ให้ความสำคัญในเรื่องการพัฒนาคุณภาพอากาศภายในอาคาร ตอกย้ำกลยุทธ์องค์กรด้าน Well-Being พัฒนาสุขภาพและคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยให้ดีขึ้นในอย่างยั่งยืน

ทางด้าน คุณทรงพล  พลรัฐ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานเทคโนโลยีสารสนเทศ บริษัท ดีทีจีโอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (DTGO) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ MQDC กล่าวว่า เรายังมีอีกระบบที่น่าสนใจคือระบบ Energy Measurement Unit หรือ EMU ซึ่งเป็นระบบแสดงผลอัตโนมัติ ผ่าน Smart Devices ต่างๆ  ที่รายงานค่าการใช้พลังงานไฟฟ้า รายวัน รายเดือน และรายปี  อีกทั้งยังเปิดให้ท่านสามารถตั้งเป้าหมายการใช้พลังงานในแต่ละเดือนได้ด้วยว่า จะจำกัดการใช้พลังงานไว้ที่งบประมาณเท่าไร โดยระบบจะแจ้งเตือนและแสดงให้เห็นปริมาณการใช้พลังงานเพื่อกระตุ้นให้เกิดการตระหนัก การใช้พลังงานอย่างเหมาะสม และสนุกไปกับการประหยัดการใช้พลังงาน ที่เห็นผลลัพธ์ซึ่งจับต้องได้ในทุก ๆ วัน อีกด้วย

ทางด้านคุณพลณัฏฐ์ เฉลิมวรรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โอโบตรอนส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซี่งเป็นพันธมิตรกับ MQDCในการร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมรวมทั้งการออกแบบระบบเทคโนโลยีบ้านอัจฉริยะ Home Intelligent Systemเปิดเผยว่า บทบาทหน้าที่ของโอโบตรอนส์คือ การนำงานวิจัยที่คิดค้นได้จากศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (The Research and  for Innovation Sustainability Center – RISC) มาดำเนินต่อทำให้เป็นรูปธรรมจับต้องได้อย่างยั่งยืนต่อไป ซึ่งในอนาคตจะมีการพัฒนาและออกแบบระบบและนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและทำให้ผู้อยู่อาศัยมีความสะดวกสบายและมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นออกมาอีกมากมายอย่างแน่นอน