บี.กริมเพาเวอร์ เตรียมเปิดจองไอพีโอระดมทุนขยายธุรกิจโรงไฟฟ้า

บี.กริมเพาเวอร์ เตรียมเปิดจองไอพีโอระดมทุนขยายธุรกิจโรงไฟฟ้า

 

ตอกย้ำศักยภาพความเป็น SPP รายใหญ่สุดของไทย พร้อมต่อยอดความสำเร็จในระดับภูมิภาค

บี.กริม เพาเวอร์ ‘BGRIM’ ประกาศแผนขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรกหรือไอพีโอ 716.9 ล้านหุ้น เคาะช่วงราคาเสนอขาย 15.00 – 16.50 บาทต่อหุ้น เปิดจอง 3 – 6 กรกฎาคม 2560 โดยเตรียมเข้าซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) 19 กรกฎาคม 2560 พร้อมชวนนักลงทุนรายย่อยร่วมงานโรดโชว์เพื่อรับฟังการสรุปข้อมูลหุ้น ‘BGRIM’ ในวันที่ 26 มิถุนายนนี้ ตีแผ่แบ็กล็อกที่จะเริ่มรับรู้รายได้ภายใน 5 ปี และอัพเดทแนวโน้มการขยายธุรกิจในอนาคต มุ่งสู่เป้าหมายกำลังการผลิตไฟฟ้า 5,000 เมกะวัตต์ จากการขยายกำลังการผลิตทั้งในประเทศและในระดับภูมิภาค เพื่อรองรับความต้องการพลังงานที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

มร. ฮาราลด์ ลิงค์ ประธาน บี.กริม และ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “บี.กริม เพาเวอร์ เป็นหนึ่งในผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าอุตสาหกรรมรายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย พร้อมขยายขอบข่ายธุรกิจไปสู่การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนทั้งในประเทศและต่างประเทศตามวิสัยทัศน์ “สร้างพลังให้กับสังคมโลกด้วยความโอบอ้อมอารี” โดยปัจจุบัน บริษัทฯ ลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าจำนวนทั้งสิ้น 43 โครงการ ได้แก่ โรงไฟฟ้าที่เปิดให้ดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้ว 28 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 1,626 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 5 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 419.1 เมกะวัตต์ และโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาอีก 10 โครงการ กำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวม 338.5 เมกะวัตต์ รวมเป็นทั้งสิ้น 2,357 เมกะวัตต์ ภายในปี 2564 โดย บี.กริม เพาเวอร์ ดำเนินธุรกิจมากว่า 24 ปี ภายใต้กลุ่ม บี.กริม ที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมานานกว่า 139 ปี นับเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยสนับสนุนการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่ง บี.กริม เพาเวอร์ ถือเป็นธุรกิจหลักของกลุ่มบริษัทฯ ที่มีศักยภาพการเติบโตที่ชัดเจน มีฐานลูกค้าและมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าและไอน้ำระยะยาวกับลูกค้าเรียบร้อยแล้ว อาทิ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตส่วนภูมิภาค (กฟภ.) รัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาว (EDL) และลูกค้าอุตสาหกรรมอีกกว่า 300 ราย ทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”

นางปรียนาถ สุนทรวาทะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยของบริษัทฯ เป็นความตั้งใจที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการขยายธุรกิจให้เต็มศักยภาพ โดยบริษัทฯ มีข้อได้เปรียบในการแข่งขันอย่างรอบด้าน ทั้งความเป็นเลิศด้านการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพสูง มีโรงไฟฟ้าอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมชั้นนำทั้งในไทยและเวียดนาม ด้วยการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยตามมาตรฐานสากล ผนวกกับความชำนาญและความเชี่ยวชาญของทีมบริหารและทีมวิศวกรในการพัฒนาโรงไฟฟ้าหลายรูปแบบ ทั้งโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมและพลังงานหมุนเวียน มีการเติบโตที่ชัดเจนจากโครงการโรงไฟฟ้าที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้ว ร่วมด้วยการมีพันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งแกร่งทั้งในไทยและต่างประเทศ สำหรับการทำไอพีโอครั้งนี้ คาดว่าบริษัทฯ จะได้เงินระดมทุนประมาณ 9,800 – 10,800 หมื่นล้านบาท จากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรกจำนวนไม่เกิน 716.9 ล้านหุ้น (ในกรณีที่มีการจัดสรรหาหุ้นส่วนเกิน)  แบ่งเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 651.8ล้านหุ้น และจัดสรรหุ้นส่วนเกินจำนวนไม่เกิน 65.1 ล้านหุ้น ในช่วงราคาเสนอขาย 15.00 - 16.50 บาท ซึ่งทางบริษัท ฯ มีแผนจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้า SPP และโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน ทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง  พร้อมทั้งชำระคืนภาระทางการเงิน และเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทฯ

ทั้งนี้ ความสำเร็จและศักยภาพการเติบโตของ บี.กริม เพาเวอร์ สามารถสะท้อนได้จากความแข็งแกร่งของรายได้ของบริษัทฯ ซึ่งฉายแววสดใสถึงอนาคต โดยในระยะ 3 ปีที่ผ่านมา (2557 - 2559) ด้วยรายได้การขายและการให้บริการที่มีอัตราการเติบโตของรายร้อยละ 18.2 (19,854 ล้านบาท23,943 ล้านบาท และ 27,747 ล้านบาท ตามลำดับ) ส่วนไตรมาสแรกของปี 2560 บริษัทฯ มีรายได้ฯ  7,651 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.8 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า  เช่นเดียวกับกำไรสุทธิปรับปรุงส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ตั้งแต่ปี 2557 – 2559 ที่เติบโตขึ้นร้อยละ 89.4 (325 ล้านบาท 713ล้านบาทและ 1,166 ล้านบาท ตามลำดับ) และในไตรมาสแรกของปี 2560 บริษัทฯ มีกำไรฯ 421 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.1 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ส่วน EBITDA ตั้งแต่ปี 2557 – 2559 เติบโตขึ้นร้อยละ 40.4 4 (3,804 ล้านบาท 4,900 ล้านบาทและ 7,494 ล้านบาท ตามลำดับ) และในไตรมาสแรกของปี 2560 บริษัทฯ มี EBITDA 2,133 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 23.3 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

 

สำหรับในช่วง 5 ปีนี้ (2560 - 2564) บริษัทฯ มีโรงไฟฟ้าทยอยเปิดให้ดำเนินการเชิงพาณิชย์และรับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและกำลังพัฒนา โดยมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้วอย่างน้อยอีก 15 โครงการ ดังนี้

2560: โรงไฟฟ้าพลังน้ำ เซน้ำน้อย 2 - เซกะตำ 1 ใน สปป.ลาว กำลังการผลิตรวม 20 เมกะวัตต์          (คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้ดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ภายในสิ้นเดือนกรกฎาคมนี้)

2561: โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม ABPR3 ABPR4 และ ABPR5 ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ กำลังการ         ผลิตรวม 399 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าพลังน้ำ น้ำแจ 1 ใน สปป.ลาว กำลังการผลิต 15 เมกะวัตต์         รวมเป็นกำลังการผลิตทั้งหมด 414 เมกะวัตต์

2562: โรงไฟฟ้าพลังน้ำ น้ำคาว 1-5 ใน สปป.ลาว กำลังการผลิตรวม 68 เมกะวัตต์

2563: โรงไฟฟ้าพลังงานลม บ่อทอง 1 และ 2 กำลังการผลิตรวม 16 เมกะวัตต์

2564: โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม BGPR1 และ BGPR2 ในนิคมอุตสาหกรรม วี.อาร์.เอ็ม.          กำลังการผลิตรวม 240 เมกะวัตต์

“นอกจากการขยายธุรกิจใน สปป.ลาว ในโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเซกอง 4 ราว 350 เมกะวัตต์ ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการเจรจาเสนอขายไฟฟ้าแล้ว บริษัทฯ ยังมีแผนที่จะเข้าลงทุนในโครงการ SPP Hybrid Firm และธุรกิจติดตั้ง Solar Rooftop บนหลังคาโรงงานลูกค้าของบริษัทฯ พร้อมเทคโนโลยีEnergy Storage เพื่อช่วยลดความต้องการใช้ไฟฟ้าในช่วงพีค รวมถึงโครงการโซล่าร์ฟาร์มสำหรับหน่วยงานราชการและสหกรณ์ฯ ระยะที่ 2 ซึ่งบริษัทฯ ได้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้วจำนวน 24 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างการรอจับฉลากอีกจำนวน 14 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเตรียมความพร้อมที่จะพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้า SPP ซึ่งมีกำลังการผลิตไฟฟ้าโรงละ 140 เมกะวัตต์ เพื่อทดแทนโรงไฟฟ้าเดิมอีก 3 โครงการ รวมทั้งศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศมาเลเซีย และประเทศกัมพูชา รวมถึงประเทศอื่นๆในอาเซียนอีกด้วย” คุณปรียนาถกล่าวเสริม

 

หุ้น ‘BGRIM’ ถือว่าได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก ทั้งกลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศไทยและต่างประเทศ  ทั้งนี้ ทางบริษัทฯ ได้ลงนามสัญญาลงทุนในหุ้นกับนักลงทุนสถาบันที่เป็น Cornerstone Investors แล้ว 3 ราย ได้แก่ สถาบันการเงินที่มีชื่อเสียงระดับสากลอย่าง Asian Development Bank, บริษัทประกันชีวิตแถวหน้าในประเทศไทยอย่าง บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้ตกลงจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายเป็นจำนวนรวม 201 ล้านหุ้น ที่ราคาเสนอขายสุดท้ายในการเสนอขายหุ้นครั้งนี้

“การทำไอพีโอครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะสนับสนุนการดำเนินงานของ บี.กริม เพาเวอร์ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการมีกำลังการผลิตไฟฟ้าจำนวน5,000 เมกะวัตต์ เพื่อป้อนเข้าสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ผ่านการสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงาน ซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เจริญเติบโต ไปพร้อมกับการพัฒนาสังคมให้สามารถก้าวสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนและพึ่งพาตนเองได้ รวมถึงการสร้างคุณค่าให้แก่ผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายของบริษัทฯ” นางปรียนาถกล่าวปิดท้าย

โดย ‘BGRIM’ จะเปิดจองซื้อหุ้นระหว่างวันที่ 3 - 6 กรกฎาคม 2560 ในราคาหุ้นละ 16.50  บาท ซึ่งเป็นราคาเสนอขายสูงสุดของช่วงราคาเสนอขายที15.00 – 16.50  บาท และคาดว่าจะประกาศราคาเสนอขายสุดท้ายได้ในวันที่ 7 กรกฎาคม 2560  นักลงทุนที่สนใจสามารถมาฟังข้อมูลเพิ่มเติมได้ในงานโรดโชว์บรรยายสรุปข้อมูลการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ของ ‘BGRIM’ ได้ในวันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน 2560 เวลา13.30 – 16.30 น. ณ หอประชุมศุกรีย์ แก้วเจริญ ชั้น 3 อาคาร B ตลาดหลักทรัพย์เเห่งประเทศไทย และขอรับหนังสือชี้ชวนเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนและใบจองซื้อ รวมถึงจองซื้อหุ้นได้ที่ผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่าย ซึ่งประกอบด้วย

  • บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) โทรศัพท์ 0-2696-0000
  • บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) โทรศัพท์ 0-2231-3777 และ 0-2618-1000
  • บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน)โทรศัพท์ 0-2305-9000และผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย คือ
  • บริษัทหลักทรัพย์ เคที ซีมิโก้ จำกัด
  • บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด
  • บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน)
  • บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
  • บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด
  • บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด

 

 

คำเตือน

การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลในหนังสือชี้ชวนก่อนการตัดสินใจลงทุน