ล็อกมง ‘อภิสิทธิ์’ ผู้นำปชป. โจทย์ฟื้นเรตติ้ง-เขย่าดุลอำนาจ

ล็อกมง ‘อภิสิทธิ์’ ผู้นำปชป.  โจทย์ฟื้นเรตติ้ง-เขย่าดุลอำนาจ

เป็นที่แน่ชัดว่า “หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์” คนใหม่ ล็อกมงไว้ที่ “เดอะมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ 100%

KEY

POINTS

  • ภารกิจหลักของอภิสิทธิ์คือการฟื้นฟูคะแนนนิยมของพรรคที่ตกต่ำลงอย่างหนักให้กลับคืนมา
  • การกลับมาของอภิสิทธิ์ถูกคาดหวังว่าจะเป็นแม่เหล็กดึงดูดสมาชิกเก่าที่ลาออกไปให้กลับมา และดึงคนรุ่นใหม่เข้ามาร่วมทีม
  • อภิสิทธิ์ต้องเผชิญความท้าทายในการปรับสมดุลอำนาจภายในพรรค ซึ่งยังคงมีกลุ่มผู้อาวุโสและอดีตหัวหน้าพรรคหลายคนมีอิทธิพลอยู่
  • การจัดตั้งทีมบริหารชุดใหม่และการจัดสรรตำแหน่งผู้สมัคร สส. จะเป็นบทพิสูจน์อำนาจของอภิสิทธิ์ในการเขย่าดุลอำนาจเดิมของพรรค

เป็นที่แน่ชัดว่า “หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์” คนใหม่ ล็อกมงไว้ที่ “เดอะมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ 100%

ตอกย้ำด้วยภาพเปิดตัวอย่างเป็นทางการ บริเวณลานพระแม่ธรณีบีบมวยผม ณ ที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ ของ “หัวหน้ามาร์ค” พร้อมด้วย “กรณ์ จาติกวณิช” อดีตรองหัวหน้าพรรค มล.อภิมงคล โสณกุล อดีต สส.กทม.

รวมถึงอดีตสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ที่ลาออกไปก่อนหน้านี้ อาทิ สกลธี ภัททิยกุล อดีตสส.กทม.และอดีตผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. “เอิร์ธ” พงศกร ขวัญเมือง อดีตผู้สมัคร สส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ บุตรชายของ “พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง” อดีตผู้ว่าฯกทม.

รวมถึงเลือดใหม่ อาทิ “เนเน่” รัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ(รทสช.) บุตรสาว “ไตรรงค์ สุวรรณคีรี” อดีตแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ รวมถึง “จุรี นุ่มแก้ว” ซึ่งก่อนหน้านี้ เปิดตัวลงสมัคร สส.เขต 2 สงขลา พรรคภูมิใจไทยรวมอยู่ด้วย

สัญญาณที่ถูกปล่อยออกมาเพียงไม่กี่ชั่วโมง ก่อนวันประชุมใหญ่สามัญ เพื่อเลือกหัวหน้า และกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ช่วงเช้าวันที่ 18 ต.ค.

ย่อมต้องจับตาจังหวะก้าวย่างทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ต่อจากนี้ ภายใต้โจทย์สำคัญ คือการฟื้น“คะแนนนิยม” ที่ดิ่งหนัก ในช่วงที่ผ่านมาให้คืนกลับมา

ล็อกมง ‘อภิสิทธิ์’ ผู้นำปชป.  โจทย์ฟื้นเรตติ้ง-เขย่าดุลอำนาจ

ฉะนั้นชื่อของ “อภิสิทธิ์” ในฐานะ “ผู้นำความคิด” ดีเอ็นเอสีฟ้า ซึ่งถูกคาดหวังว่า จะมาเป็นแม่เหล็ก ดึงเลือดเก่าไหลกลับ กอบกู้เรตติ้งพรรค หากเทียบกับยุคที่ “ค่ายพระแม่ธรณี” รุ่งโรจน์ ในช่วงที่ “หัวหน้ามาร์ค”เป็นผู้นำ จะพบว่า

ปี 2554 ปชป.กวาด สส.159 ที่นั่ง ขณะที่ ปี 2562 หลังการเมืองถูกแช่แข็ง นานถึง 5 ปี แม้ ปชป.จะได้ สส.มาเพียง 53 ที่นั่ง หายไปกว่าครึ่ง และเสียที่นั่งในฐานะเบอร์หนึ่งในขั้วอนุรักษนิยม ทว่ายังคงถือแต้มในระดับต่อรอง เป็นพรรคลำดับ 2 ในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หากเทียบกับปัจจุบันที่มี สส.เพียง 25 คน

ภายใต้ “โจทย์ใหญ่” ในการฟื้นเรตติ้งพรรคสีฟ้า ในฐานะสถาบันการเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทยให้กลับคืนมา นอกเหนือจากตัว “อภิสิทธิ์” ที่ถูกล็อกมงเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่แล้ว ยังต้องจับตาไปที่ “ทีมบริหาร” ที่จะเข้ามาเสริมทัพในรอบนี้

ว่ากันว่า ในวันที่ “อภิสิทธิ์” เดินทางเข้าพบ “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” อดีตหัวหน้าพรรค นอกจากการขอความมั่นใจ เรื่องเสียง “โหวตเตอร์” ชนิดที่ต้องชัวร์ 100% เพื่อให้สมศักดิ์ศรี “นายกรัฐมนตรี คนที่ 27” และอดีตหัวหน้าพรรค 3 สมัยแล้ว อีกหนึ่งเงื่อนไขที่ “เดอะมาร์ค” พูดคุยกับ “อดีตหัวหน้าต่อ” คือการ“จัดทีมบริหาร” พร้อมดึงคนรุ่นใหม่ รวมถึงบุคคลภายนอกเขามาร่วมทีม

สอดคล้องกับความเคลื่อนไหวของ “อภิสิทธิ์” รวมถึง “กรณ์” ในช่วงที่ผ่านมา ที่มีการเดินสายพบปะบุคคลจากหลากหลายแวดวง

เห็นชัดจากซีนการพบกันระหว่าง “อภิสิทธิ์-กรณ์” และกูรูด้านต่างๆ อาทิ “สันติธาร เสถียรไทย” นักยุทธศาสตร์แห่งอนาคต “สุวิทย์ เมษินทรีย์” อดีต รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ที่ถูกปล่อยออกมาก่อนหน้านี้

ซึ่ง“กรณ์” ระบุว่าเป็น “อนาคตประเทศที่ทุกคนทุกรุ่นต้องการ”

ล็อกมง ‘อภิสิทธิ์’ ผู้นำปชป.  โจทย์ฟื้นเรตติ้ง-เขย่าดุลอำนาจ

 

ขณะที่ อำนาจการบริหารจัดการภายใน “พรรคสีฟ้า” แม้จะมีข่าวออกมาเป็นระยะว่า “อดีตหัวหน้าเฉลิมชัย” ในฐานะผู้มากบารมี อาจตัดสินใจวางมือ โดยปรับบทบาทเหลือแค่ ให้คำปรึกษาเบื้องหลังแทน

หรืออีกกระแสระบุว่า อาจไม่ไปต่อกับปชป.หลังวันที่ 18 ต.ค.นี้ เอาเข้าจริง แม้วันที่ “อภิสิทธิ์” จะขึ้นแท่นผู้นำ ลึกๆ แล้ว ก็ยังไม่ได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดเสียทีเดียว

อย่าลืมว่า การบริหารจัดการในปชป. ยังมี “กลุ่มผู้อาวุโส” ที่ถ่วงดุลอำนาจอยู่อีกชั้น โดยเฉพาะการจัดสรร บัญชีรายชื่อผู้สมัครใน “ระบบปาร์ตี้ลิสต์” ซึ่งธรรมเนียมปฏิบัติ จะให้เกียรติ “อดีตหัวหน้าพรรค” อยู่ในลำดับแรก

โดยปัจจุบัน ปชป. มีอดีตหัวหน้าพรรคถึง 5 คน คือ อภิสิทธิ์ ชวน หลีกภัย บัญญัติ บรรทัดฐาน จุรินทร์ ลักษณะวิศิษฏ์ และเฉลิมชัย

หากตัดในส่วนของเฉลิมชัย ซึ่งรอบที่ผ่านมาสละสิทธิ์ ไม่ลงสมัคร เพื่อหลีกทางให้สมาชิกมีโอกาสเข้าสภาฯ ดังนั้น “4 ลำดับแรก” ย่อมถูกล็อกไว้ให้อดีตหัวหน้าพรรคอย่างปฏิเสธไม่ได้

หากเทียบกับการเลือกตั้งรอบที่ผ่านมา ปชป.ได้ สส.ปาร์ตี้ลิสต์แค่ 3 ลำดับเท่านั้น ไหนจะสัดส่วนแกนนำแต่ละภาค รวมถึงสัดส่วนสตรี ที่จะต้องมีอยู่ในทุกๆ 5 ลำดับ คือลำดับที่ 5, 10 และ 15 เป็นต้น

จุดนี้เอง ที่เป็นเงื่อนไขให้บรรดาบุคคลที่ “อภิสิทธิ์” เดินสายทาบทาม บางคนยังไม่ตอบรับ โดยเลือกที่จะรอความชัดเจนหลังวันที่ 18 ต.ค.ว่า หัวหน้าพรรคคนใหม่ จะมีอำนาจตัดสินใจในการบริหารจัดการพรรค มากน้อยเพียงใด

เหนือไปกว่านั้น ต้องจับตาตำแหน่ง “เลขาธิการพรรค” ซึ่งทำหน้าที่เสมือนเป็นแม่บ้าน ดูแลความเป็นอยู่ภายในพรรค ซึ่งโดยปกติ หากแคนดิเดตหัวหน้าพรรคชัดเจนแล้ว ก็จะมีการเปิดตัวว่า ใครจะมาเป็นแคนดิเดตเลขาธิการพรรค ไปในคราวเดียวกัน

อย่างที่รู้กัน การบริหารจัดการใน “ค่ายสีฟ้า” โดยธรรมเนียมปฏิบัติตำแหน่ง “หัวหน้า” และ“เลขาธิการพรรค” จะต้องมีคนใดคนหนึ่งเป็น “กระเป๋าเงินพรรค” ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นยิ่งในการขับเคลื่อนการเมือง

หากเทียบยุคก่อนหน้า ที่ “อภิสิทธิ์”เป็นหัวหน้าพรรค มีเลขาธิการพรรค คือ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ก่อนเปลี่ยนมาเป็น “เฉลิมชัย” เช่นเดียวกับยุค “จุรินทร์” ที่มี “เฉลิมชัย” เป็นเลขาธิการพรรค เป็นต้น

ล่าสุดมีรายงานว่า "ชัยวุฒิ บรรณวัฒน์"  อดีตรองหัวหน้าพรรค จะได้รับตำแหน่งเลขาธิการพรรคคนใหม่ เนื่องจากเป็นผู้ที่"อภิสิทธิ์" ไว้วางใจมานาน และมีความใกล้ชิดสนิทสนมกัน

ล็อกมง ‘อภิสิทธิ์’ ผู้นำปชป.  โจทย์ฟื้นเรตติ้ง-เขย่าดุลอำนาจ

ส่วนทีมงานที่เหลือ "อภิสิทธิ์" ได้ฟอร์มทีมไว้แล้ว โดย"กรณ์​" จากเดิมถูกคาดการณ์จะมาเป็นเลขาธิการพรรค จะนั่งรองหัวหน้าพรรคตามภารกิจ

ส่วนตำแหน่งที่เหลืออาทิ “สกลธี ภัททิยกุล”  เป็นรองหัวหน้าพรรค "กรานต์ จิตสุทธิภากร“ อดีต ส.ส.นครสวรรค์ เป็นรองหัวหน้าพรรคภาคเหนือ ”สาธิต ปิตุเตชะ" เป็นรองหัวหน้าพรรคภาคกลาง ขณะที่ "ชัยชนะ เดชเดโช"  รักษาการรองหัวหน้าพรรคภาคใต้ ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกจับตาจะนั่งเลขาธิการพรรค ยังคงนั่งตำแหน่งเหมือนเดิม

ต้องจับตาว่า “ดุลอำนาจ” ภายในค่ายสีฟ้าหลังจากนี้ จะมีการบาลานซ์ให้ลงตัว เพื่อรับ “เกมการเมือง” ที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ได้อย่างไร ภายใต้เดิมพัน ในการฟื้นวิกฤติ