แก้ ‘เกมค้าน’ ชำแหละ ‘ปมแค้น’ ‘เพื่อไทย’ รุกคืน ‘ภท.- ปชน.’

ว่ากันว่า “พรรคเพื่อไทย” จะกระชากเรตติ้งใน “ศึกซักฟอก” ส่งแรงบีบ-แรงกดดันให้ “พรรคประชาชน” ต้องโหวต หากเลือกไว้วางใจหรืองดออกเสียง “อนุทิน” “บิ๊กค่ายแดง” หวังว่ากระแสจะสวิงกลับมา
KEY
POINTS
- พรรคเพื่อไทยประกาศตัวเป็น "ฝ่ายค้านอิสระ" เพื่อแยกตัวออกจากกลไกวิปฝ่ายค้าน ซึ่งพรรคประชาชนมีเสียงข้างมาก และมีท่าทีสนับสนุนรัฐบาลเสียงข้างน้อย
- การเคลื่อนไหวนี้มีเป้าหมายเพื่อชิงความได้เปรียบทางการเมือง ทำให้พรรคเพื่อไทยสามารถกำหนดเกมในสภาฯ และฟื้นคะแนนนิยมได้ด้วยตนเอง
- ในฐานะฝ่ายค้านอิสระ พรรคเพื่อไทยมีจำนวน สส. เกิน 1 ใน 5 ทำให้สามารถยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลได้ทันทีโดยไม่ต้องผ่านมติวิปฝ่ายค้าน
- แม้จะแยกตัวออกมา แต่การจะล้มรัฐบาลในการลงมติไม่ไว้วางใจยังคงต้องอาศัยความร่วมมือกับพรรคประชาชน เนื่องจากเสียงของพรรคเพื่อไทยพรรคเดียวไม่เพียงพอ
ตั้งแต่การพลิกเกมกระดานการเมือง จัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย ส่ง “อนุทิน ชาญวีรกูล” นั่งเก้าอี้นายกฯ “พรรคประชาชน” ผู้สนับสนุนเสียงโหวต เปิดศึกกับ “พรรคเพื่อไทย” เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบทางการเมือง แม้จะต้องอยู่ในสถานะ “ฝ่ายค้าน” ด้วยกัน
การเลือกตั้งปี 2566 ทั้ง “ค่ายแดง - ค่ายส้ม” ถือพันธมิตรที่ร่วมรบ เพื่อสู้กับ “เครือข่ายอนุรักษ์” มุ่งหมายโค่นล้ม “3 ป. - บิ๊กทหาร” ทว่าการเลือกตั้งปี 2569 “พรรคเพื่อไทย - พรรคประชาชน” ต้องมาห้ำหั่นกันเอง เพื่อชิงคะแนนนิยมทางการเมือง
แม้ 2 ปีที่ผ่านมา “พรรคเพื่อไทย” จะเสียแต้มการเมืองไปเยอะ แต่ความนิยมในแบรนด์ค่ายแดงยังพอมีหลงเหลืออยู่บ้าง แตกต่างจาก “กระแสสีส้ม” แม้จะเบาบางลง แต่ตราบใดที่ประชาชนยังไม่ได้ลองของใหม่ “แบรนด์สีส้ม” ยังขายได้อยู่
เมื่อทั้ง “พรรคเพื่อไทย” และ “พรรคประชาชน” ต้องอยู่ใน “ขั้วฝ่ายค้าน” ด้วยเงื่อนไขเวลาอีก 4 เดือนยุบสภาฯ ไม่แปลกที่ต้องแข่งกันใช้เวทีสภาฯโกยแต้มในเวลาที่จำกัด
อีกทั้งหลังการโหวตส่งเก้าอี้นายกฯให้ “อนุทิน” จัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย กลเกมของทุกพรรคการเมืองต้องปรับเปลี่ยนกันใหม่ เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบก่อนถึงวันกากบาทบัตรเลือกตั้ง
“พรรคเพื่อไทย” มุ่งหวังจะฟื้นกระแส จึงต้องโดดเดี่ยวตัวเองออกมาจากกลไก “วิปฝ่ายค้าน” ซึ่งต้องอาศัยเสียงผ่านคณะกรรมการในการกำหนดเกม
หมอชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์รายการคมชัดลึก เนชั่นทีวีช่อง 22 อธิบายถึงเหตุผลที่พรรคเพื่อไทย ต้องการเป็นฝ่ายค้านที่เป็นอิสระ ไม่ขึ้นกับมติของวิปฝ่ายค้านว่า หากวิปฝ่ายค้านมีมติออกมา เราก็ต้องปฏิบัติตามเสียงข้างมาก แต่สัดส่วนของวิปฝ่ายค้าน พรรคเพื่อไทยมีน้อยกว่า เนื่องจากจำนวน สส. มีน้อยกว่าพรรคประชาชน อีกทั้งพรรคประชาชน ซึ่งมีสถานะเป็นฝ่ายค้าน แต่อีกทาง ต้องคอยสนับสนุนการทำงานของรัฐบาล โดยเฉพาะการเป็นองค์ประชุมในสภาฯ
“การทำงานที่เป็นอิสระ เป็นเอกเทศของเรา เราสามารถยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ทันที เพราะเรามีจำนวนเสียง สส. เกิน 1 ใน 5 อยู่แล้ว โดยไม่ต้องฟังมติจากวิปฝ่ายค้าน เราจะทำงานกับพรรคประชาชน โดยไม่ผ่านกลไกของกรรมการ เหมือนคุยกันนอกรอบ ไม่ผูกมัดกับมติวิปฝ่ายค้าน”
สำหรับข้อกล่าวหาการเดินเกมของ “พรรคเพื่อไทย” ถูกมองว่าเป็น “ฝ่ายแค้น” มากกว่า “ชลน่าน” มองว่า อยู่ที่นิยามคำว่าแค้น หากพฤติกรรมของค้านมุ่งทำร้าย ใช้กลไกโดยไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มุ่งสร้างประโยชน์ตนเอง ถ้าทำลักษณะดังกล่าวเรียกแค้น แต่ถ้าผลลัพธ์ออกมาทำเพื่อประโยชน์โดยร่วม อันนี้ไม่เรียกแค้น
โดยสภาพของ “พรรคเพื่อไทย” กับ “พรรคประชาชน” เสมือนไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน “ชลน่าน” ให้เหตุผลว่า จะกล่าวหาอย่างนั้นคงไม่ใช่ เราเห็นว่าสภาขณะนี้มันไม่ปกติ พรรคฝ่ายค้านสนับสนุนให้มีรัฐบาล และต้องประคับประคองรัฐบาล เวลาทำหน้าที่จริงฝ่ายค้านต้องอุ้มรัฐบาลอยู่
“การตัดสินใจของพรรคเพื่อไทยมันไม่ใช่ภาวะปกติ ถ้าวันนี้เป็นภาวะปกติ แล้วตัดสินใจแบบนี้ ถือว่าแย่มาก แล้วจะเสียสิทธิเสียโอกาสด้วย แต่สถานการณ์แบบนี้ พรรคเพื่อไทยเสนอได้เต็มที่ ก่อนหน้านี้สัดส่วนในการอภิปรายจะแบ่งเวลาฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้าน แต่ครั้งนี้คิดตามสัดส่วนไม่ได้เลย เมื่อไม่ปกติฝ่ายค้านมีมากกว่ารัฐบาล จึงมีแนวว่าสิทธิการเสนอในสภาฯ จึงต้องคิดใหม่”
สำหรับการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ “ชลน่าน” ยอมรับว่า พรรคเพื่อไทยได้คุยกัน แต่ยังไม่ตกผลึก โดยถ้าพบหลักฐานว่าหากรัฐบาลอยู่แล้วอาจจะพบว่ามีสิ่งที่อาจจะทำให้เกิดความเสียหาย ย่อมสามารถยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ทันที
“ถ้าตัวรัฐมนตรีไม่มีคุณสมบัติ มีสิ่งที่ต้องห้าม เราก็ยื่นได้เลย มันไม่เกี่ยวกับได้ทำงานไม่สำเร็จ ในยุครัฐบาลเพื่อไทย เราระมัดระวังการแต่งตั้งที่อาจจะขัดคุณสมบัติเยอะ”
“ชลน่าน” วิเคราะห์อีกว่า การยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ ทั้ง “พรรคเพื่อไทย” และ “พรรคประชาชน” ต้องพึ่งพาอาศัยกัน เนื่องจากจำนวนเสียงของทั้งสองพรรค ไม่สามารถล้ม “รัฐบาลอนุทิน” ได้ เนื่องจากต้องใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของที่ประชุมสภาฯ ดังนั้นต้องคุยกัน แต่สภาพความเป็นจริงเราต้องทำงานร่วมกัน แต่ไม่จำเป็นต้องใช้ข้อบังคับตามกลไกที่มีอยู่
ต้องจับตาดูกลเกมของ “พรรคเพื่อไทย” ในการโดดเดี่ยวตัวเองออกมาเป็น “ฝ่ายค้านอิสระ” อยู่นอกกลไกสภาฯ เพื่อขับเคลื่อนทิศทาง และกำหนดเกมด้วยตัวเอง
ว่ากันว่า “พรรคเพื่อไทย” จะกระชากเรตติ้งใน “ศึกซักฟอก” ส่งแรงบีบ-แรงกดดันให้ “พรรคประชาชน” ต้องโหวต หากเลือกไว้วางใจหรืองดออกเสียง “อนุทิน” ปมฮั้ว สว. - เขากระโดง “บิ๊กค่ายแดง” โดยหวังว่ากระแสเรื่องนี้ จะสวิงกลับมายัง “พรรคเพื่อไทย”
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







