‘สส.บัญชา’พรรคท้องที่ไทย มาแปลก แบกจำนำข้าว-ป้อง’ยิ่งลักษณ์‘

‘สส.บัญชา’พรรคท้องที่ไทย มาแปลก แบกจำนำข้าว-ป้อง’ยิ่งลักษณ์‘

สส.บัญชา พรรคท้องที่ไทยพรรค มาแปลก แบก เพื่อไทยอุ้มจำนำข้าว-ป้อง“ยิ่งลักษณ์” เตรียมยื่นดีเอสไอ สอบปมกล่าวหาไม่เป็นธรรมพรุ่งนี้

นายบัญชา เดชเจริญศิริกุล สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคท้องที่ไทย กล่าวกับ “เนชั่นทีวี” ว่า เรื่องโครงการจำนำข้าว และการเก็บรักษาข้าวในโครงการ ไม่ได้ผิดปกติตั้งแต่รัฐบาลเพื่อไทย แต่มาผิดปกติตรงวิธีปฏิบัติหลังการรัฐประหาร มีข้อสงสัยว่าทำให้ข้าวดีๆ กลายเป็นข้าวเสีย เรื่องนี้ที่ออกมาพูดเพราะต้องการหาความยุติธรรม หาความชอบธรรมให้คลังเก็บข้าวทั่วประเทศ 

ข้าวเป็นพืชการเมืองที่ ใช้วาทกรรมโจมตีกันเอง ตั้งแต่สมัยท่านนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขออธิบายตั้งแต่ต้นจนจบ เพื่อความเข้าใจเรื่องนี้ ข้อมูลที่พูดเป็นข้อมูลจริงทั้งหมดที่เกิดขึ้น เรื่องโครงการรับจำนำข้าว เป็นโครงการช่วยเหลือยกระดับราคาข้าวให้เกษตรกร สมัยนั้นเป็นพรรคเพื่อไทยที่ทำโครงการนี้  

การรับจำนำข้าว 1. เกษตรกรต้องไปลงทะเบียนก่อนว่า นาย ก.ทำนา 10 ไร่ ข้าวของเขาจะได้ประมาณ 7 ตัน ถึงเวลาเขาก็จะเอาข้าวมาจำนำที่โรงสี ซึ่งโรงสีจะทำหน้าที่เป็นลูกจ้างให้รัฐบาล ทำสัญญากับองค์การคลังสินค้า กับองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร เพื่อรับจ้างหลวง เป็นเครื่องมือให้หลวง 

 

เมื่อเกษตรกรได้ข้าวมาก็ต้องมาขายให้โรงสี ก็จะวัดความชื้น มาดูสิ่งเจือปน แล้วได้ราคาตามไหนก็สีตามนั้น โรงสีก็รับขึ้นบัญชีไว้ ก็ต้องสีข้าวตามจำนวนนี้ ได้ค่าสี ค่าแปลงตันละ 15,000 บาท แล้วนำไปส่งให้คลังกลาง นีี่คือหน้าที่โรงสี

 

พอไปอยู่ในคลังกลางรัฐบาล โดยกระทรวงพาณิชย์ก็จะนำข้าวในคลังกลางไปประกาศขาย ผู้ชื้อก็จะไปดูข้าวในโกดังก่อน แล้วไปประมูลที่องค์การคลังสินค้า กับองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร เป็นการซื้อเหมาคลังไปเลยตามราคาที่ประกาศขาย นี่คือวิธีการขายข้าวสมัยรัฐบาลเพื่อไทย ทำแบบนี้มาทุกปี 

แต่พอมาปี 2557 เกิดปฏิวัติรัฐประหาร เขามองว่าการจำนำข้าวเป็นการทุจริต กระบวนการจำนำข้าวในช่วงการขายข้าวออกจากคลัง ไม่ว่าจะเอาไปทำข้าวถุง ธงฟ้า เอาข้าวไปแจกภัยพิบัติ สมมุติเอาข้าวเอาไปทำอย่างใดอย่างหนึ่งตรงนี้ แต่จริงแล้วทำไม่หมดตามที่บอก เอาไปขายกัน ที่เป็นคดี ที่รัฐมนตรีติดคุก ที่คนโน้นคนนี้ติดคุก อันนี้คือเรื่องจริงที่มีการทุกจริตเรื่องจำนำข้าว เอาข้าวตรงนี้ไปขายกัน 

ทีนี้พอปฎิวัติเสร็จ คณะ คสช.ออกคำสั่งเข้าไปบริหารจัดการข้าวในสต๊อกของรัฐบาล โดยวิธีเริ่มแรกตั้งคณะกรรมการมา 100 ชุด แล้วเอาสภาหอการค้าที่เกี่ยวกับการตรวจข้าวมา แต่จริงๆ ฝ่ายตรวจข้าวต้องมีใบวิชาชีพในการตรวจข้าว แต่เขาก็เอาสภาหอการค้ามาอบรม ใช้เวลาอบรม 2 วัน จากคณะกรรมการ 100 ชุดที่ตั้งมาจากทุกกระทรวง เป็นตัวแทนขึ้นมา หลังจากนั้นก็มาตรวจข้าวในสต๊อกข้าวรัฐบาล 

ข้าวในสต๊อกรัฐบาลในช่วงนั้น ปี 2557 มีอยู่ 17 ล้านตัน และมีหายเป็นบางส่วน ก็มีการเก็บตัวอย่างข้าว และตรวจปฏิมาณข้าวในสต๊อก ตัวอย่างที่เก็บก็จะแบ่งเป็น 2 ชุด ชุดที่หนึ่ง คณะกรรมการเก็บไป และอีกชุดให้คลังเก็บไว้เป็นหลักฐานว่ามาตรวจข้าว 

หลังจากนั้นก็จะมีการซีลปากถุง กรรมการก็จะเซ็นปากถุง โดยนำกระดาษหนังไก่แปะเขียนชื่อกำกับอีกที ที่นี้ข้าวมาตรฐานการตรวจข้าวของกระทรวงพาณิชย์ หลังจาก ออกจากกระสอบข้าวแล้ว ข้าวจะเปลี่ยนแปลงตามกายภาพได้ มันต้องตรวจภายใน 15 วัน แต่ที่คณะกรรมฯเก็บไปนั้น เอาไปหลายเดือนมาก แล้วเอาไปเก็บในตู้คอนแทนเนอร์ จอดไว้กลางแดดที่องค์การคลังสินค้า หรือองค์การ ตลาดเพื่อเกษตรกร ตัวอย่างก็เลยเกิดเสื่อมแล้วก็เสีย เนื่องจากว่ามันไปถูกอบร้อนอยู่กลางแดด 

หลังจากนั้นเขาก็เอาตัวอย่างนี้ไปตรวจที่สภาหอการค้า เสร็จแล้วข้าวที่เก็บไป เขาเอาทุกสายพันธุ์ที่จำนำทั้งหมดไปตั้งมาตรฐานใหม่ ตั้งเป็นเกรดเอ บี ซี แล้วเขาก็ใส่คำนิยามว่า เอ บี คือข้าวที่คนสามารถบริโภคได้ พอเป็นซี เขานิยามว่าไม่ใช่การบริโภคของคน เพื่อการบริโภคของสัตว์เท่านั้น พอเป็นแบบนี้ก็ทำให้เสียราคาข้าวทันทีในตลาด

แล้วเขาก็เอาข้าวมาขายตามเกรด เอ บี ใครก็ได้ในประเทศไทยมีเงินที่จะมาประมูล แต่พอเกรดซี ถูกปิดกั้นโดย TOR ว่าถ้าไม่ใช่อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ไม่ใช่โรงงานปุ๋ยอะไรก็แล้วแต่ ที่ไม่เอามาให้คนกิน ไม่สามารถประมูลได้ มันเหมือนล็อคสเปค แล้วข้าวเกรดซี ประมูลที่กระสอบละ 300-400 บาท จากราคาจำนำแพงๆ มาขายอย่างนี้ 

ข้อมูลนี้ที่ตนเคยอภิปรายในสภาว่า การขายข้าวมันผิดธรรมชาติ คือการเอาข้าวดีไปทำให้เป็นข้าวไม่ดีก่อน แล้วเอาไปขาย ใครได้รับประโยชน์จากตรงนี้บ้าง อันนี้ก็ต้องตามไปดู

การดำเนินคดีกับคลังเก็บข้าว เขาก็จะแจ้งข้อกล่าวหาเจ้าของคลัง หัวหน้าคลัง เซอร์เวเยอร์ ข้อหา เดียวกันหมดทั้งประเทศ แล้วสุดท้าย 10 ปีแล้ว ไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะเอาผิดคลัง สุดท้ายก็คือ อัยการสังไม่ฟ้อง ตอนนี้กำลังแจ้งกลับมาที่ผู้ประกอบการคลังทั้งประเทศ อันนี้ในเรื่องของอาญา 

ส่วนคดีแพ่ง เขาให้องค์การคลังสินค้า กับองค์การตลาดเพื่อเกษตรกรไปที่ศาลปกครอง ในพื้นฐานความเสียหายเดียวกัน แต่เป็นความโชคดีที่ศาลท่านเมตตา ศาลท่านอาจจะมองออก คดีส่วนใหญ่ 90 เปอร์เซ็นต์ ผู้ประกอบการ คลัง ชนะทั้งหมด 

แล้วยังมีข้าวตัวอย่างบางโกดังที่เจ้าของคลังยังเก็บอยู่ ยังสามารถเอามาหุงได้ ซึ่งเรื่องนี้วันที่ 2 เมษายนนี้ ผู้ประกอบการคลังจะประชุมกัน แล้ววันที่ 3 จะไปร้องขอความเป็นธรรมตามช่องทางที่ควรไปได้ สุดท้ายความจริงเขาไม่ผิด ก็ต้องคืนสิทธิ์ให้เขาไป เพราะว่าสิ่งที่ทำมันสามารถพิสูจน์ได้

ทำไมอยู่ๆ ปฏิวัติปุ๊บ ข้าวที่อยู่ในคลังเสียหมดเลยหรือ แล้วยังมีอีกคลังที่ยังอยู่ที่ยังพอเป็นหลักฐานได้ คือคลังที่จังหวัดพิจิตร คลังสิงห์โตทอง ซึ่งเป็นข้าวโครงการรับจำนำปี 2555 เขาขายกระสอบละ 1,200 บาท แล้วทำไม่คุณเอาไปขายกระสอบละ 300 บาท ตรงนี้รัฐเสียหายเป็นแสนล้าน 

 

“เรื่องนี้ผมเคยอภิปรายไปแล้ว พอดีคลังยื่นหนังสือความเดือดร้อนมา ก็เลยให้ผู้ประกอบการคลังนัดประชุมวันที่ 2 เมษายนนี้ ก็พยายามหาความเป็นธรรมให้กับ เขาเพราะเขาถูกกระทำมา 10 ปีแล้ว แล้ว มันเสียหายเยอะมาก” 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันพรุ่งนี้(2เม.ย.) เวลา13.00น.นายบัญชา จะยื่น เรื่องต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)ขอให้ตรวจสอบ การดำเนินคดีจำนำข้าวที่ถูกกล่าวหาว่าข้าวไม่มีคุณภาพ โดยไม่เป็นธรรม