จับตาบทบาท “ผู้นำฝ่ายค้าน” ตรวจสอบรัฐ-กำกับจริยธรรม สส.
ไม่นาน จะได้เห็น “ชัยธวัช” ในบทบาท "ผู้นำฝ่ายค้าน" ทว่าตำแหน่งนี้ ความสำคัญไม่ใช่แค่การตรวจสอบ"รัฐบาล" เท่านั้น เพราะมีบทบาท "ผู้ควบคุมจริยธรรม สส." อีกด้วย
หลังจากปิดสมัยประชุมของสภาฯ เมื่อ 31 ต.ค.2566 ยังมีประเด็นน่าติดตาม คือ กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการแต่งตั้ง “ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร” โดยขณะนี้ ในขั้นตอนของรัฐธรรมนูญถูกปลดล็อกในตำแหน่งที่ทับซ้อนกัน ระหว่างผู้นำฝ่ายค้านฯ กับ “รองประธานสภาผู้แทนราษฎร” แล้ว
เมื่อ “พรรคเป็นธรรม” โดย “ปิติพงศ์ เต็มเจริญ” หัวหน้าพรรค ตอบรับ “ปดิพัทธ์ สันติภาดา” สส.พิษณุโลก และรองประธานสภาฯ คนที่หนึ่ง ซึ่งถูกพรรคก้าวไกล ขับออกจากสมาชิกพรรค เข้าเป็นสมาชิกพรรคเป็นธรรมแล้ว เมื่อ 25 ต.ค.2566
ทำให้เงื่อนไขทูลเกล้าฯ ชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล "ชัยธวัช ตุลาธน” เป็นผู้นำฝ่ายค้าน ตามรัฐธรรมนูญ ยังเหลือขั้นตอนรับรองจาก คณะกรรมการการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ
ล่าสุด “วันมูหะมัดนอร์ มะทา” ประธานสภาฯ ในฐานะผู้ทูลเกล้าฯ และรับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ บอกว่า เมื่อ สส.ปดิพัทธ์เข้าสังกัดพรรคเป็นธรรมอย่างเป็นทางการแล้ว ขณะนี้ยังเหลือหนังสือรับรองที่พรรคก้าวไกลต้องประสานจาก กกต. และนำส่งมาให้สภาฯ เพื่อนำไปประกอบการดำเนินการแต่งตั้งผู้นำฝ่ายค้านฯ
คาดว่าหลังจากที่ได้รับหนังสือรับรองชัยธวัชให้เป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกลอย่างเป็นทางการ “วันนอร์” จะใช้เวลาดำเนินการทูลเกล้าฯ ไม่เกิน 7 วัน
ขณะที่การทำหน้าที่ “ผู้นำฝ่ายค้าน” อย่างเป็นทางการนั้น ยังต้องรอขั้นตอนตามกระบวนการอีก
สำหรับบทบาทของ “ผู้นำฝ่ายค้าน” ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ มีสาระสำคัญคือ
มาตรา 155 มีอำนาจยื่นต่อประธานรัฐสภาเพื่อขอเปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมรัฐสภา เพื่อขอปรึกษาหารือร่วมกันระหว่างรัฐสภาและคณะรัฐมนตรี กรณีมีปัญหาสำคัญเกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัย หรือเศรษฐกิจของประเทศ โดยไม่มีการลงมติเรื่องที่อภิปราย กรณีนี้กำหนดให้ประธานรัฐสภาเรียกประชุมภายใน 15 วัน
มาตรา 203 ผู้นำฝ่ายค้านจะทำหน้าที่กรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ
นอกจากนั้นในกระบวนการของสภาฯ ยังกำหนดให้ผู้นำฝ่ายค้านเป็น กรรมการจริยธรรมโดยตำแหน่ง มีหน้าที่และอำนาจเป็นผู้กำกับดูแลจริยธรรมของ สส.
แน่นอนว่าในประเด็น “จริยธรรม สส.” นั้นถือเป็นประเด็นแรกที่ต้องตั้งคำถามเอาจาก “ชัยธวัช” หลังจากที่พรรคก้าวไกลเผชิญปมปัญหาจริยธรรม สส.ในพรรค ทั้ง “สส.วุฒิพงษ์ ทองเหลา” สส.ปราจีนบุรี ปมถูกร้องแชตสยิวกับทีมงานสาว ซึ่งเป็นอาสาสมัครหาเสียง และ "สส.ไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์” สส.กทม. ที่มีพฤติกรรมคุกคามลวนลามทีมงานหญิงของพรรคก้าวไกล
แม้กระบวนการของพรรคจะตรวจสอบอย่างเป็นเรื่องเป็นราว และขั้นตอน โดยวันที่ 1 พ.ย. จะมีมติของ สส.และกรรมการบริหารชี้ชะตาเรื่องดังกล่าว
ทว่า ในแง่ “เกมการเมือง” แน่นอนว่าเรื่องนี้จะไม่หยุดแค่กระบวนการภายในพรรคเท่านั้น และตามสถานะของ “สส.” ต้องมีเรื่องให้ตรวจสอบจริยธรรม เพื่อให้มีผลต่อสถานะ “นักการเมือง” ที่ใช้เป็นจุดชี้วัดในเกมเลือกตั้งที่จะมาถึง
ตามพฤติกรรมของ 2 สส.ที่ถูกตั้งเรื่องสอบ หากจะนับว่า “เข้าข่าย” ขัดกับประมวลจริยธรรมของ สส. และกรรมาธิการ พ.ศ.2563 อาจถือว่าเข้าข่ายทั้งในประเด็นไม่รักษาเกียรติภูมิและชื่อเสียงของสภาฯ ไม่เคารพสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลของผู้อื่น เป็นต้น
เหตุที่เกิดขึ้น ถูกวิจารณ์ในวงกว้างและสังคมมองภาพในแง่ลบ ไม่เฉพาะ “เจ้าตัว-พรรคต้นสังกัด” เท่านั้น แต่ยังลามถึงภาพพจน์ของสภาฯชุดปัจจุบัน
ในฐานะ “ชัยธวัช” ที่นั่งเป็นผู้นำฝ่ายค้านต้องเป็นกรรมการจริยธรรม ตามกติกาต้องนั่งทำหน้าที่ “ตรวจสอบ” หากเป็นประเด็นของ “ลูกพรรคตัวเอง”ตามระเบียบ มิอาจปฏิเสธการทำหน้าที่ได้
ต่อประเด็นนี้ “นิกร จำนง” อดีตเลขานุการกรรมการจริยธรรมสภาฯ ชุดที่25 และผู้ยกร่างกติกาเพื่อสอบจริยธรรม สส. บอกว่า การสอบจริยธรรมของ สส.ชุดที่ผ่านมา กรรมการจริยธรรมที่มาจากพรรคการเมืองยังทำหน้าที่เพื่อตรวจสอบคำร้อง สส.ที่มาจากพรรคเดียวกัน เว้นแต่เป็นเรื่องที่ตัวเองถูกสอบที่จะถูกเชิญ หรือขอไม่ให้เข้าร่วมประชุม
หมายความว่า ในกรณีที่อาจจะเกิดขึ้นในกติกาที่กำหนดให้เป็นหลักเกณฑ์ตรวจสอบจริยธรรม ไม่มีเงื่อนไขห้าม “ผู้นำฝ่ายค้าน" ทำหน้าที่กรรมการจริยธรรม ในประเด็นที่คนของตัวเองถูกสอบ
แม้ผู้นำฝ่ายค้านจะมีสิทธิ “ไม่เข้าร่วม” ก็ได้ แต่ที่ผ่านมาไม่เคยมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น เพราะท้ายสุดการตัดสิน ว่าสส.ที่ถูกสอบจะมีพฤติกรรมเข้าข่ายจริยธรรมหรือไม่ และต้องได้รับการลงโทษสถานใด จำเป็นต้องใช้มติของกรรมการจริยธรรม ไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของจำนวนกรรมการทั้งหมดเท่าที่มีอยู่คือ 15 คน
ดังนั้นในประเด็น 2 สส.ก้าวไกลที่ถูกร้องเรียนพฤติกรรมไม่เหมาะสมกับสถานะของ “ผู้แทนราษฎรที่มีเกียรติ” แม้ที่ผ่านมา “ชัยธวัช” ฐานะ แกนนำพรรคก้าวไกล ยังไม่แสดงท่าทีอย่างชัดเจน นอกจากให้ความเห็นว่า “ต้องให้ความเป็นธรรม” และ “ปล่อยให้กรรมการตรวจสอบของพรรคดำเนินการ”
ทว่า การเข้ารับตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านที่สวมบทบาท “กรรมการจริยธรรม” ด้วยนั้น ไม่สามารถปฏิเสธหน้าที่ และอำนาจในการควบคุมและกำกับ สส. ในประเด็นจริยธรรมไปได้
หรืออย่างน้อยต้องมีบทบาทที่แจ่มชัดต่อบทบาทตรวจสอบ และจัดการลูกพรรคของตัวเองที่มีข้อครหาในประเด็นที่อ่อนไหวต่อสังคม เพราะเรื่องดังกล่าวย่อมมีผลต่ออุดมคติทางการเมือง ต่อค่านิยมที่ “ก้าวไกล” พยายามสร้างขึ้นในสังคม ในแง่ความเท่าเทียม - เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
ทั้งหมดนี้ “ชัยธวัช” ในบทบาท "หัวหน้าพรรคก้าวไกล-ผู้นำฝ่ายค้าน-กรรมการจริยธรรมสภาฯ" ต้องทำให้ชัดเจน ไม่เลือกทำเฉพาะการวางบทบาทตรวจสอบฝ่ายรัฐ ที่หวังผลได้ในทางการเมืองเท่านั้น.