เลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐ ชี้ชะตาอนาคต "เศรษฐกิจโลก"

เลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐ ชี้ชะตาอนาคต "เศรษฐกิจโลก"

การเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐในครั้งนี้ มีขึ้นวันที่ 8 พ.ย. (เมื่อคืนที่ผ่านมาตามเวลาประเทศไทย) เช้าวันนี้จึงน่าจะพอเห็นเค้าลางของผลการเลือกตั้งบ้างแล้วว่าจะออกมาเช่นไร

เชื่อว่าวันนี้ (9 พ.ย.) เราน่าจะเห็นความชัดเจนของผลการเลือกตั้งกลางเทอมในสหรัฐฯ กันบ้างแล้ว ว่าพรรคใดจะได้ครองเสียงข้างมากทั้งในสภาล่างและสภาบน บอกได้เลยว่า ผลการเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นตัวชี้ชะตาอนาคตเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในอีก 2 ปีข้างหน้า ซึ่งรวมไปถึงเศรษฐกิจโลกด้วย

เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าถ้าเศรษฐกิจสหรัฐมีปัญหา เศรษฐกิจโลกก็ย่อมปั่นป่วนตามไปด้วย แน่นอนว่ายังสั่นสะเทือนไปถึงตลาดการลงทุนทั่วโลกด้วยเช่นกัน จึงไม่แปลกใจที่ในเวลานี้นักลงทุนจากทั่วทุกมุมโลกต่างเฝ้ารอดูผลการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐว่าผลจะออกมาเช่นไร

โดยปกติแล้วการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐจะมีขึ้นในทุกๆ 4 ปี ส่วนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) จะมีขึ้นทุก 2 ปี โดยในช่วง 2 ปีที่อยู่ตรงกลางหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ จะเรียกกันว่า "เลือกตั้งกลางเทอม" ซึ่งการเลือกตั้งนี้มีไว้สำหรับสภาคองเกรสอันประกอบด้วย ส.ส. และ ส.ว. โดย ส.ส. หรือ สภาล่าง มีหน้าที่เสนอกฎหมายต่างๆ ในขณะที่ ส.ว. หรือ สภาบน จะมีหน้าที่ลงมติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบร่างกฎหมายที่สภาล่างเสนอขึ้นมา

การเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐในครั้งนี้ มีขึ้นวันที่ 8 พ.ย. (เมื่อคืนที่ผ่านมาตามเวลาประเทศไทย) เช้าวันนี้จึงน่าจะพอเห็นเค้าลางของผลการเลือกตั้งบ้างแล้วว่าจะออกมาเช่นไร โดยครั้งนี้จะเป็นการเลือกตั้ง ส.ส. ทั้งหมด 435 คน (แต่ละคนจะอยู่ในวาระ 2 ปี) ส่วนการเลือกตั้ง ส.ว. จะเลือก 1 ใน 3 หรือจำนวน 35 คนจากจำนวน 100 คน ซึ่งแต่ละคนจะอยู่ในวาระ 6 ปี

ปัจจุบัน ‘พรรคเดโมแครต’ ของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ครองเสียงข้างมากทั้งสภาล่างและสภาบน ทำให้ช่วงที่ผ่านมาการออกกฎหมายเพื่อดูแลเศรษฐกิจ จึงไม่ได้มีปัญหามากนัก แต่หลังการเลือกตั้งกลางเทอมในครั้งนี้ หากพรรคเดโมแครตพ่ายแพ้ การผ่านร่างกฎหมายต่างๆ ก็อาจจะไม่ง่ายเหมือนช่วงที่ผ่านมา 

ย้อนมาดูคะแนนนิยมของ ไบเดน กันสักนิด ซึ่งผลคะแนนล่าสุดดูกระเตื้องขึ้นมานิดหนึ่ง แต่ต้องบอกว่าคะแนนโดยรวมอยู่ระดับที่ต่ำมากจนน่าตกใจ หรือราวๆ 40% เท่านั้น สาเหตุเพราะคนส่วนใหญ่ไม่พอใจการบริหารเศรษฐกิจของ "โจ ไบเดน" โดยเฉพาะประเด็น "เงินเฟ้อ" และค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้นในรอบ 40 ปี 

ขณะที่ผลสำรวจจากหลายๆ ค่ายในสหรัฐ สะท้อนไปในทางที่ว่า การเลือกตั้งกลางเทอมนี้ พรรครีพับลิกัน ของอดีตประธานาธิบดี "โดนัลด์ ทรัมป์" จะแลนด์สไลด์มาทั้งสภาล่างและสภาบน ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริง บอกได้เลยว่าการทำงานของประธานาธิบดีไบเดน หลังจากนี้จะเหนื่อยขึ้นมากแน่นอน

ลองคิดดูว่าถ้าสภาล่างและสภาบนหลังการเลือกตั้งกลางเทอมนี้ตกเป็นของพรรครีพับลิกัน แต่ตัวประธานาธิบดีซึ่งก็คือ โจ ไบเดน เป็นคนของพรรคเดโมแครต การบริหารบ้านเมืองโดยเฉพาะการดูแลเศรษฐกิจที่ต้องออกมาตรการต่างๆ มาดูแล จะทำได้อย่างราบรื่นหรือไม่?

ยิ่งในปีหน้าผู้คนมีความกังวลมากพออยู่แล้วว่า เศรษฐกิจสหรัฐกำลังเดินเข้าสู่ "ภาวะถดถอย (Recession)" ถ้า ไบเดน จำเป็นต้องออกมาตรการใดๆ มากระตุ้นแต่ไม่ได้รับเสียงสนับสนุนจากทั้งสภาล่างและสภาบนที่เพียงพอ หรือกว่าจะผ่านได้ก็ต้องเล่นเกมการเมืองกันหลายชั้น เชื่อว่าเวลานั้นทั้งตลาดหุ้นและตลาดเงินคงปั่นป่วนอย่างแน่นอน