"ทักษิณ" แฉเบื้องหลังรัฐประหาร อ้างเคยถูกลอบฆ่าหลายครั้ง
"ทักษิณ" แฉเบื้องหลังรัฐประหารปี 49 ขู่ระวัง "ดาบนั้นคืนสนอง" ลั่นใครรัฐประหาร เจอโทษประหารชีวิตหมด อ้างเคยถูกลอบฆ่าหลายครั้ง
เมื่อวันที่ 24 พ.ค.2565 ที่ผ่านมา นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวในวาระครบ 8 ปีรัฐประหาร 2557 ผ่านรายการ CareTalk X Clubhouse โดยแฟนเพจเฟซบุ๊ก CARE คิดเคลื่อนไทย สรุปสาระสำคัญไว้ ดังนี้
เชื่อว่าสักวันหนึ่ง จะเป็นวันที่มีรัฐธรรมนูญของเราเอง ซึ่งตามหลักกฎหมายยังไงโทษย้อนหลังไม่ได้ แต่รัฐบาลนี้กลับใช้กฎหมายย้อนหลังเพื่อเล่นงานตน แต่ผมขอเตือนนะว่า “ระวังดาบนั้นคืนสนอง ใครรัฐประหารเจอโทษประหารชีวิตหมดนะ”
หลักกฎหมายทั่วไปที่เป็นสากล เขาไม่มีย้อนหลังที่เป็นโทษ มีแต่ย้อนหลังที่เป็นคุณ แต่ประเทศไทยทำกลับกันแบบนี้ ระวังตัวไว้เถอะ ดาบนั้นได้คืนสนองแน่ ผมเตือนไว้เลย"
“...มีพลเอกคนหนึ่งมาถามตลอดว่า เมื่อไหร่จะฆ่าทักษิณสักที...”
วันหนึ่งผมกลับจากอีสาน ผมต้องลงจากเครื่องบิน บน.6 ออกทางวิภาวดี กลับมีคนบอกว่า มีรถต้องสงสัยดักตรงที่เราออก เราเปลี่ยนทางออกเลย ปรากฏว่ารถคันนั้น ซึ่งเป็นรถฮุนไดหายจากถนน หาเท่าไรก็หาไม่เจอ ปรากฏว่ารถคันนั้นไปจอดใน กอ.รมน.
แล้วจอดดักผมที่ซังฮี้อีกครั้ง ปรากฏว่าตำรวจหน้ารถผมจำได้ ก็ระดมเรียกหมด ค้นรถจนเจอซีโฟร์และทีเอ็นที ถ้าระเบิดนะละแวกนั้นไปหมด ทำไมมันถึงไม่ระเบิด ปรากฏว่าวันนั้น ผมออกบ้านสาย วันนั้นบังเอิญต้องเตรียมไปประชุมอาเซม ซึ่งประชุมนานแล้วต้องบินไปนิวยอร์ก แต่มีปัญหาน้ำท่วมจังหวัดน่าน สื่อยังไม่รู้เพราะเช้ามาก ทีมดักมาเช้าจริงแต่คงไปกินข้าวก่อน กดรีโมทแล้วไม่ติด ปรากฏเป็นรีโมทเครื่องบินบังคับ ผมก็สงสัยเกิดอะไรขึ้น
ปรากฏมารู้ทีหลังว่า คนประกอบระเบิดให้คือ เพื่อนรุ่นเดียวกับผม นั่งติดกับผมตั้งแต่เด็ก ทำไมถึงมารับจ้าง เพราะลูกเรียนหนังสืออยู่สหรัฐ แล้วมันเป็นมะเร็งแต่เป็นผู้เชี่ยวชาญระเบิด มีคนมาจ้างแต่ทำยังไงแต่ไม่ระเบิด มีการเตรียมการ ก็ไปบอกว่าคาร์บ๊อง เพื่อเบี่ยงเบน ระเบิดเต็มรถ ผมโชคดีที่รอดตาย
แล้วมีการจับกุม พ.ท.ธวัชชัย พ.ท.มนัช แล้วไปจับจ่ายักษ์ ซึ่งให้การก่อนตายว่า มีพลเอกคนหนึ่งมาถามตลอดว่าเมื่อไหร่จะฆ่าทักษิณซะที แล้วมีพลเอกอีกคนมาเล่าผมว่าจะเอาอาร์พีจีมายิงบ้านผม แต่คนที่ถูกใช้เขายังเคารพเมียผมอยู่ ถ้าทำแบบนั้นตายยกบ้าน ทำไมไม่ฆ่าคนเดียว ก็เลยเป็นการซุ่มยิง
ที่จ่ายักษ์สารภาพบอกว่า ถ้าฆ่าไม่ตายก็ต้องรัฐประหาร ถ้ารัฐประหารเสร็จจะวางตัวใคร พูดไว้ตอนสิงหาคม 49 แล้วพลเอกคนนั้นเล่าให้ผมฟังว่าใช้ปืนซุ่มยิงแทนอาร์พีจี ที่สำคัญมีนายทหารถูกออกจากราชการ เสร็จแล้วพอรัฐประหารนึกว่าจะช่วยกลับราชการ กลับไม่มีเงินส่งลูกเรียนหนังสือ ผมช่วยเลยแลกกับเล่าให้ฟังทั้งหมด แต่ผมไม่ปล่อยเทป เพราะไม่อยากให้บ้านเมืองวุ่นวาย แต่ถ้าจำเป็นต้องใช้ ผมทำทุกอย่างเห็นแก่บ้านเมือง
“...ตอนที่ผมปราศรัยที่สนามหลวง มีคนมาตั้งซุ่มยิงที่ตึกคณะรัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์...” โดยก่อนการรัฐประหารผม มีความพยายามลอบฆ่าผมบ่อยมาก ผมเนี่ยถูกดักยิงด้วยสไนเปอร์ เคยเล่าแล้ว จุดหนึ่งที่ลำปาง บังเอิญว่า ส.ส.ทะเลาะกัน ผมปราศรัยที่เชียงรายเสร็จแล้วไปเชียงใหม่ เก้อเลย แล้วอีกครั้งตอนที่ผมปราศรัยที่สนามหลวง มีคนตั้งซุ่มยิงที่ตึกรัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ แต่ผมเสร็จเร็ว ออกก่อน ปรากฏนักศึกษายังไม่ทันลงตึก ตั้งปืนไม่ได้ ผมเลยรอดตาย
- เชื่อผลเลือกตั้ง กทม.สะท้อนสนามใหญ่
นอกจากนี้ นายทักษิณ กล่าวถึงผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. และ ส.ก. เมื่อวันที่ 22 พ.ค. ที่ผ่านมาว่า เป็นปรากฏการณ์ที่เหลือเชื่อ หรือ Strategic vote ไม่ได้อยู่ในฝ่ายพรรคการเมืองใดเลย อยู่ในฝ่ายของประชาชน ที่มีหนึ่งโหวตของเขา คิดว่าจะทำอย่างไรให้เกิดประโยชน์ที่สุด เพราะเท่าที่ทราบ พบการซื้อเสียงเกิดขึ้นจำนวนมาก และมากกว่าหนึ่งพรรค แต่ผลคะแนนพรรคนั้นกลับไม่เยอะ เพราะประชาชนรับเงินแต่ไม่เลือก
แสดงให้เห็นว่า คนไทยเริ่มคิดว่า ถึงเวลาประชาธิปไตยแล้ว หลังจากที่เจ็บปวดมานานวันนี้ต้องเลือกฝ่ายประชาธิปไตย ต้องเลือกคนทำงาน ต้องเลือกคนที่มั่นใจว่า ทำงานได้ และมีการสนับสนุนเพียงพอ ดูได้จากผู้ที่เลือก ส.ก.พรรคก้าวไกล มีมากกว่าคนที่เลือก นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร อดีตผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. เพราะตัดสินใจหันไปเลือก นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ว่าที่ผู้ว่าฯ กทม. แทน เพราะมองว่า หากเลือก นายวิโรจน์ อาจไม่ชนะ หรือดี - ไม่ดี อาจไปเฉลี่ยคะแนน ทำให้ นายชัชชาติ แพ้การเลือกตั้งก็ได้
นายทักษิณ กล่าวอีกว่า ประชาชนเริ่มคิดเป็นว่า เขาจะโหวตอย่างไร ดังนั้น บอกได้เลยว่า การเลือกตั้งครั้งหน้าการซื้อเสียงไม่มีความหมายกับประชาชน เพราะจะรับเงินแต่ไม่เลือก เขาจะเลือกตามสิ่งที่คิดว่า เป็นประโยชน์ต่อเขา เป็นประโยชน์ต่ออนาคตของลูกหลาน เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติมากที่สุด พรรคการเมืองต้องทำความดีกันหน่อย
นายทักษิณ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม การกลับมาของ พรรคเพื่อไทย ในพื้นที่ กทม. มองว่า คนกทม. เจ็บปวด เหมือนคนในต่างจังหวัด เขามีความรู้สึกว่า ถูกมาตรา 44 ทิ้งซากไว้หลายเรื่อง ยึดสิทธิ และสร้างความบอบช้ำ ทั้งการทำมาหากิน การใช้ชีวิตมาก จึงทำให้เกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวขึ้น ซึ่งก็ขอแสดงความยินดีกับคน กทม. ที่ได้เลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. และ ส.ก.
ส่วนกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ผลการเลือกตั้งที่ออกมาเป็นเรื่องของจังหวัดหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้สะท้อนภาพการเมืองใหญ่ นายทักษิณ กล่าวว่า การเลือกตั้งสนามนี้เปรียบเหมือนการทำแซนด์บ็อกซ์ การทดลอง ทดสอบ ซึ่งเชื่อว่า จะปูทางไปสู่ผลจริงผลการเลือกตั้งจริง แม้พื้นที่ กทม.และต่างจังหวัดจะแตกต่างกัน แต่ผลที่เกิดขึ้นใน กทม. ส่งผลไปยังทั่วประเทศแน่นอน
อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า ส่วนกรณีการใช้โซเชียลมีเดีย หลังมีการเปิดตัวอดีตสมาชิกพรรคเพื่อไทยไปอยู่พรรคอื่น พบว่า ในต่างจังหวัดมีกระแสเชิงลบ เพราะประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่มีอยู่ครอบครัว และสามารถอธิบายให้พ่อแม่เข้าใจในเรื่องนั้นๆ ได้ จึงกล่าวได้ว่า ทุกวันนี้ใครที่หนีข้อมูลข่าวสาร ก็คือคนหนีความจริง ยิ่งถ้าเป็นระบบเผด็จการเท่าไร มีอำนาจมากเท่าไร กำลังหันหลังให้ความจริงเท่านั้น ฉะนั้น ต้องใจกว้าง
พิสูจน์อักษร โดย....สุรีย์ ศิลาวงษ์