อัปเดต บุกจับ 'มีน พระราม 3' ภัยสังคม 100 สาวเด็กเอ็นตกเป็นเหยื่อ

อัปเดต บุกจับ 'มีน พระราม 3' ภัยสังคม 100 สาวเด็กเอ็นตกเป็นเหยื่อ

เปิดประวัติชั่ว ภัยสังคม 100 สาวกลางคืนเด็กเอ็น โดนมาแล้วตกเป็นเหยื่อ ตำรวจนครบาลบุกจับ โมเก๊ทรงเอ มีนพระราม 3 ขู่คลิปลับ

อัปเดตกรณีการตามจับ "โมเก๊ทรงเอ" มีน พระราม 3 ล่าสุด ตำรวจสืบนครบาล รวบ "มีน พระราม3" โมเก๊ ภัยร้ายวงการ"สาวคนกลางคืน" จับได้จนมุม ต.สะเดียง อ.เมืองเพชรบูรณ์ จว.เพชรบูรณ์

ผู้ต้องหายอมรับว่า "ชุดสืบนครบาลชุดนี้เก่งมากที่หาตนเจอได้" นําตัวเข้า บก.สส.บช.น. น.1, น.5 สั่งผู้การอ่อ ขยายผลให้ถึงที่สุด

ทั้งนี้ “โมเก๊ทรงเอ” สมญานามของ "มีนพระราม 3" นครบาลถือเป็นวายร้ายที่กําลังเขย่าวงการสาวกลางคืน หลังตระเวนก่อเหตุมา 3 ปี ผู้เสียหายไม่ต่ำกว่า 100 ราย

ก่อนหน้านี้ ผู้การจ่อ ส่งทีมสารวัตรแอ๊ะ ไล่ล่าบุกไปทลายแหล่งผลิตน้ำกระท่อม ที่ย่านวัดพระยาไกร แต่หนีไปได้อย่างฉิวเฉียด ก่อนจะส่งข้อความมาเย้ยว่า "เดี๋ยวไปมอบเอง ไม่ต้องตาม ระดับสารวัตรแจ๊ะ ก็หาผมไม่เจอ"

จับ มีน พระราม 3 ภัยสังคม ภัยเด็ก N

ความคืบหน้า เหยื่อบางรายของ มีนพระราม 3  เกือบฆ่าตัวตาย ก่อเหตุมาจำนวนมาก ในพื้นที่นครบาล จนกระทั่งเหยื่อใจกล้าเข้าแจ้งเพจดัง และดำเนินคดีจนสามารถออกหมายจับคนร้ายรายนี้ได้ในที่สุด 

ล่าสุดผู้การจ๋อ ส่ง สารวัตรแจ๊ะ ไปทลายแหล่งกบดาลคนร้ายย่านพระราม 3 แต่หลบหนีหัวซุกหัวซุนไปได้ฉิวเฉียด ส่งข้อความและโชว์ปืนเย้ยท้าทายระบบ จนสารวัตรแจ๊ะต้องเปิดโหมดหมาล่าเนื้อ ไล่ล่าเต็มรูปแบบ 48 ชั่วโมง จนคนร้ายไปจนมุมที่เพชรบูรณ์ โดยเจ้าตัวสารภาพกับผู้การจ๋อว่า “เคยทำแค่ 8 คน แต่ถ้าเปิดเผยใบหน้าจะมีคนมาแจ้งอีกเยอะ”

เมื่อวันที่ 9  พฤษภาคม  2567 เจ้าหน้าที่ สืบนครบาล ร่วมกันสืบสวนติดตามจับกุมตัว นายกิตติกร หรือ มีนพระราม3 อายุ 33 ปี  ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ที่ จ.447/2567 ลงวันที่ 7พฤษภาคม 2567 โดยกล่าวหาว่า  “ลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิด หรือการพาทรัพย์นั้นไป และเพื่อให้พ้นการจับกุม”

อัปเดต บุกจับ \'มีน พระราม 3\' ภัยสังคม 100 สาวเด็กเอ็นตกเป็นเหยื่อ

ประวัติมีน พระราม 3

พบประวัติเคยถูกจับกุมตัว เมื่อวันที่ 9 พ.ย. 59 ในข้อหา “ครอบครองยาเสพติดให้โทษประเภท 1 เพื่อจำหน่ายฯ” รับโทษอยู่ในเรือนจำเกือบ 3 ปี พ้นโทษเมื่อวันที่ 24 พ.ค. 62 จับกุมได้ที่ ห้องพักในหอพัก ม.8 ต.สะเดียง อ.เมืองเพชรบูรณ์ จว.เพชรบูรณ์

พฤติการณ์กล่าวคือ “โมเก๊-ทรงเอ” ของ “บังมีน พระราม3” วายร้ายที่กำลังเขย่าวงการสาวกลางคืน เพราะมันอาละวาดก่อเหตุในพื้นที่นครบาลมาไม่ต่ำกว่า 3 ปีแล้ว โดยแผนประทุษกรรมแสบ

  1. แฝงตัวอยู่ในกลุ่มไลน์ของเหล่าเด็กเอ็น  
  2. ปลอมตัวเป็นโมเดลลิ่งสาวทำทีทักไปหาสาวเอ็นเตอร์เทน
  3. พุ่งเป้าไปที่สาวรูปพรรณ หน้าอกใหญ่ และกำลังประกาศหางานภายในกลุ่ม
  4. เริ่มใช้ทักษะการสนทนาแบบทรงเจ๊ “ป้ายยา” โปรโมทว่ามี “ลูกค้ารวย”
  5. หว่านล้อมจนทำให้เหล่าสาวเอ็นเตอร์เทนเข้าใจว่าตัวเองโชคดีที่จะได้เจอลูกค้ารายนี้
  6. เหยื่อสาวเอ็นหลงกลตกลงรับงานจากคนร้ายแล้ว มักจะนัดหมายเหยื่อไปในสมรภูมิของมันคือย่าน “พระราม3”

ก่อนจะเจอกันคนร้ายจะให้เหยื่อสาว ไปถอนเงินในบัญชีมาเป็นเงินสดให้หมด โดยใช้อุบายว่าได้เดิมพันกับเพื่อนไว้ ว่าเด็กเอ็นเตอร์เทนวันนี้พกเงินสดมาเท่าไหร่

ถ้าใครทายถูกก็จะได้เงินจากการเดิมพัน หากชนะพนันจะนำเงินที่ชนะพนันมาแบ่งให้กับเหยื่อสาว เมื่อเหยื่อถอนเงินสดมาไว้เต็มกระเป๋าแล้วเดินทางมาถึงจุดนัดพบ คนร้ายจะแปลงกายจากโมเดลลิ่งในแชทไลน์มาปลอมตัวเป็น “ลูกค้า”

อัปเดต บุกจับ \'มีน พระราม 3\' ภัยสังคม 100 สาวเด็กเอ็นตกเป็นเหยื่อ

ทำทีโอ้อวดว่าเป็นเสี่ยก่อน คนร้ายจะเดินเกมต่อโดยใช้เทคนิค “ไม่จ่ายเงินก่อน” จนกว่าจะเสร็จงานอันเป็นการเหนี่ยวรั้งเหยื่อไว้ ซึ่งหากเหยื่อรายใดท้วงติง คนร้ายจะเกทับด้วยการคุยโวว่าจะจ่ายเงินเพิ่ม ซึ่งบางรายถูกบังคับให้สไลด์หนอนให้คนร้ายตลอดทางไปที่พัก ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการเผด็จศึก

โดยที่แสบทรวงคือเหยื่อจะถูกกระทำอย่างรุนแรงมาก และกระทำเป็นจำนวนหลายครั้ง บางรายทนไม่ไหวก็จะถูกข่มขู่ว่ามีอาวุธปืนทำให้เหยื่อกลัวและจำยอม แล้วท้ายสุดยัง “แอบฉกเงินสด” ในกระเป๋าของเหยื่อก่อนจะหนีหายไป

โดยบางรายถูกลวงให้ไปซื้อของ บางรายถูกลวงไปปล่อยทิ้งข้างทาง ปล่อยเหยื่อรอเก้อแล้วหายตัว เรียกได้ว่าคนที่ตกเป็นเหยื่อนั้น “เสียทั้งตัวและเสียทั้งตังค์”

เหยื่อบางรายเกือบคิดสั้น เพราะเงินสดที่ถูกมันขโมยไปนั้นแทบจะเป็นเงินเก็บทั้งชีวิตของเหยื่อ ที่น่าตกใจกว่าคือเมื่อเหล่าสาวเอ็นได้มีการสำรวจกันในวงการ

จนทราบว่ามีคนตกเป็นเหยื่อมาแล้วไม่ต่ำกว่า 50 ราย

แต่เกือบทั้งหมดไม่กล้าแจ้งความดำเนินคดีเพราะอับอาย ถูกข่มขู่ว่าจะปล่อยคลิปลับ ได้แต่พากันสาปแช่งเท่านั้น

ล่าสุดได้มีเหยื่อสาว 2 ราย ได้ขอความช่วยเหลือเพจสายไหมต้องรอด  โดยประสาน พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. โดยได้พาเธอเข้าแจ้งความดำเนินคดี เข้าสู่กระบวนการสอบสวนกระทั่งตอนนี้ออกหมายจับคนร้ายรายนี้ได้แล้ว คือ นายกิตติกร หรือ มีนพระราม 3 อายุ 33 ปี 

โดย พล.ต.ต.ธีรเดชฯ ส่งชุดสารวัตรแจ๊ะไล่ล่าติดตามตัว โดยทราบเบาะแสว่าปัจจุบันคนร้ายไปอยู่ในกลุ่มแก๊งใหญ่ย่านพระราม 3 ชุดสืบสวนแกะรอยจนทราบว่าแหล่งมั่วสุดคือ ร้านขายขนม ภายในซอยเจริญราษฎร์ 7 แขวงบางโคล่ เขตบางคอแหลม จ.กรุงเทพ แต่เป็นเพียงฉากหน้า เพราะหลังร้านนั้นเป็นแหล่งผลิตน้ำกระท่อมขาย

หลังชุดสืบสวนซุ่มดูอยู่ 10 ชั่วโมง จึงนำกำลังบุกเข้าไปตรวจสอบภายในร้าน พบอุปกรณ์การผลิตและนำกระท่อมสำเร็จรูปจำนวนมาก แต่ไม่พบตัวคนร้าย ซึ่งพวกของคนร้ายในร้านได้แจ้งกับเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนว่าคนร้ายพึ่งจะหลบหนีไปที่ จ.นนทบุรี

ขณะเดียวกันคนร้ายได้ทราบว่าชุดสืบสวนได้บุกมาที่นี่ คนร้ายได้ส่งข้อความไลน์มาว่า “เดี๋ยวไปมอบเอง ไม่ต้องหา จ้งแจ๊ะไรก็หากูไม่เจอหรอก” พร้อมส่งภาพอาวุธปืนลูกโม่ ท้าทายเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน เกมชิงไหวพริบได้เกิดขึ้นเมื่อคนร้ายได้วางแผนปล่อยข่าวสับขาหลอกชุดสืบสวนว่าตนเองอยู่ที่ จ.นนทบุรี แต่ชุดสืบสวนวิเคราะห์พฤติกรรมออกว่าเป็นกับดักลวง “ผมมีพวกอยู่เพชรบูรณ์”

อัปเดต บุกจับ \'มีน พระราม 3\' ภัยสังคม 100 สาวเด็กเอ็นตกเป็นเหยื่อ

ประโยคสั้น ๆ ที่ผู้เสียหายเคยได้ยินจากคนร้ายสะกิดใจนักสืบขึ้นมา แม้เป็นเพียงเบาะแสที่เบาบางแต่มันเป็นเบาะแสเดียวที่มี ชุดสืบสวนพร้อมใจกระโดดขึ้นรถบุกไปตายเอาดาบหน้าตามสัญชาตญาณ
ดิบ กว่า 6 ชั่วโมง ที่ จ.เพชรบูรณ์ ชุดสืบสวนงมเข็มในแดนเขาค้อจนได้เบาะแสจากชายขายใบกระท่อมคนหนึ่งในตัวเมือง จ.เพชรบูรณ์ ว่าพบชายหน้าแปลกมาซื้อใบกระท่อมกับกลุ่มเด็กแสบ ใช่ไม่ใช่ไม่รู้ แต่ไม่มีทางอื่นให้เดินแล้ว

ชุดสืบสวนเลือกตามรอยเท้ากลุ่มจนกระทั่งช่วงดึกสงัดไร้เงาผู้คนชุดสืบสวนได้พบกับกลุ่มเด็กซ่องสุมดื่มน้ำกระท่อมกันอยู่ที่ห้องเช่าแห่งหนึ่งใกล้ๆตัวเมืองและได้พบคนร้ายสุมหัวอยู่ด้วย กว่า 40 ชั่วโมง รอจนกระทั่งรุ่งสางบุกเข้าไปรวบตัวคนร้ายรายนี้ได้สำเร็จ โดยไม่เกิดความสูญเสียใด ๆ

ในชั้นจับกุม นายกิตติกรให้การภาคเสธโดยให้การว่า “ตนเคยเป็นระดับหัวจ่าย เคยถูกดำเนินคดีในคดีจำหน่ายยาเสพติดฯ เมื่อปี พ.ศ. 2559 หลังจากพ้นโทษเมื่อปี พ.ศ. 2562 ตนได้หาเลี้ยงชีพด้วยการขับรถรับจ้างและเป็นไรเดอร์รับส่งอาหาร โดยใช้บัญชีเพื่อนสนิทของตนในการทำงาน ในระหว่างที่ตนทำงานรับจ้าง

ตนได้มีโอกาสทำงานให้กับ นางเอ (นามสมมติ) โดยที่นางเอเป็นโมเดลลิ่งรับจัดหาเด็กเอ็นในช่วงนี้เองที่ตนได้เรียนรู้เกี่ยวกับงานด้านโมเดลลิ่งและทำงานร่วมกับนางเอเป็นระยะเวลาหลายปี จนกระทั่งมีความรู้ความชำนาญในงานดังกล่าว ตนจึงได้ใช้อุบายโดยการแฝงตัวเข้าไปในกลุ่มไลน์เพื่อปลอมตัวเป็นโมเดลลิ่งรับจัดหาเด็กเอ็นเตอร์เทนเพื่อไปดูแลลูกค้าในงานต่างๆ

และอ้างตัวว่าตนเป็นสาวประเภทสองที่ทำงานในด้านนี้มานาน และทำทีพูดคุยว่าจะพาไปหาลูกค้าทำให้เด็กเอ็นฯ หลงเชื่อ โดยภายหลังจากที่ตนติดต่อพูดคุยรายละเอียดงานกับเด็กเอ็นฯในฐานะโมเดลลิ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตนก็จะใช้บัญชีไลน์อีกบัญชีหนึ่งแอบอ้างตัวเป็นลูกค้าเพื่อนัดเจอกับเด็กเอ็นฯเสียเอง

โดยตนได้แฝงตัวเป็นโมเดลลิ่งและทำในลักษณะดังกล่าวกับเด็กเอ็นฯหลายรายโดยที่มีบางรายที่ตนเบี้ยวไม่ชำระค่าบริการให้ โดยทำเช่นนี้มาประมาณ 8 คน แต่ไม่ได้มีการขโมยเงิน หรือการข่มขืนตามที่เป็นข่าว และในวันที่ 5 พ.ค. 2567

ตนได้ทราบข่าวจากเพื่อนในกลุ่มว่าตนว่ามีภาพของตนออกรายการทีวีหลายรายการโดยรายละเอียดข่าวแจ้งว่าตนได้ลักทรัพย์ผู้เสียหายและหลอกผู้เสียหายไปข่มขืนเป็น 100 ราย ซึ่งหลังจากทราบข่าวตนอยู่ในอาการหวาดกลัวและตกใจเพราะตนไม่ได้กระทำดังเช่นข่าวกล่าวอ้าง จนวันที่ 7 พ.ค. 2567 ตนได้หอบเงินและหนีไปอาศัยอยู่กับญาติที่จังหวัดเพชรบูรณ์เพื่อหาทางสู้คดี 

ต่อมา วันที่ 7 พ.ค. 2567 ช่วงเวลากลางคืน ตนได้รับทราบจากร้านน้ำกระท่อมว่าตำรวจจากสืบนครบาล ชื่อสารวัตรแจ๊ะ มาบุกที่ร้าน ตนได้โทรไลน์ไปหาคนในร้านกระท่อม  

ตนได้ส่งภาพอาวุธปืนไปให้หลังจากนั้นเพราะส่งผิด ส่วนที่บอกว่าตนท้าทายนั้น ไม่ได้เป็นการท้าทาย แค่เป็นการพูดตัดบท แล้วในเช้าวันต่อมาขณะที่ตนกำลังนอนพักอยู่ในห้องนอนของญาติที่เพชรบูรณ์ สารวัตรแจ๊ะก็มาปลุกตนถึงเตียง รู้สึกตกใจมากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจมาจับกุมตนในตอนเช้าตรู่ เนื่องจากเมื่อคืนกลางดึกยังโทรคุยกับสารวัตรแจ๊ะอยู่เลย ไม่คิดว่าตื่นมาจะเร็วขนาดนี้ ยอมรับจากใจว่าชุดสืบนครบาลชุดนี้เก่งมากที่หาตนเจอได้”


หลังจับกุมตัว ได้นำตัว นายกิตติกร หรือมีนพระราม 3 ส่งพนักงานสอบสวน สน.ทุ่งมหาเมฆเพื่อดำเนินคดีตามกฏหมาย

พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น.กล่าวว่า “ในชั้นจับกุมเรายังไม่ปักใจเชื่อในคำให้การของผู้ต้องหารายนี้ เพราะเบาะแสล่าสุดที่เรามี มีผู้เสียหายมาเข้าแจ้งความเพิ่มอีกเป็นจำนวนมาก และจากการตรวจสอบในโทรศัพท์ของคนร้ายก็พบว่ากำลังแชทสนทนาลวงเหยื่ออยู่ถึง 8 ราย

เมื่อดูจากหลักฐานต่างๆแล้ววิเคราะห์ได้ว่าคนร้ายรายนี้ก่อเหตุมา “เยอะมาก” ซึ่งหลังจากนี้เราจะมีการขยายผลให้ถึงที่สุด และผมขอเป็นกำลังใจให้กับทั้ง 2 ท่าน ที่กล้าออกมาทวงความยุติธรรม และขอให้ผู้ที่เคยตกเป็นเหยื่อคนร้ายรายนี้โปรดแจ้งความดำเนินคดี เพื่อให้มันได้ชดใช้กับสิ่งที่ก่อไว้ทั้งหมด แล้วไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ทำอาชีพอะไร ถ้าคุณถูกข่มเหงรังแก

ผมพร้อมที่จะปกป้องพวกคุณ แม้ไม่ใช่คดีอุกฉกรรจ์แต่หากเป็นเรื่องความเดือดร้อนของประชาชน เราทำทันที ตามนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาการ ผบ.ตร. พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น.