“ความมืด ที่ไม่มืดมิด” 

“ความมืด ที่ไม่มืดมิด” 

สัปดาห์นี้ มีเรื่องซึ้งๆ ของศิลปินระดับโลก “Art Garfunkel” เผยแพร่ในโซเชียล ซึ่งผมอยากจะติดตามว่า มีความจริงมากน้อยเพียงใด 

เพราะเมื่อเดือนที่แล้ว เรื่องราวซาบซึ้งของหญิงอินเดีย 2 คนบนรถไฟ ผมได้นำมาเล่าให้ฟังแล้วว่า แม้จะมีความจริงบางส่วน แต่ผิดในสาระสำคัญ 

“Art Garfunkel” นักร้องจากวง Simon & Garfunkel เจ้าของเพลงดัง Bridge over Troubled Water, El Condor Pasa, Scarborough Fair, I am a Rock และ Sound of Silence ที่ผู้คนร้องกันทั่วโลกนี่แหละครับ

ความโด่งดังของเพลง เราไม่ต้องพูดถึง แต่ความลึกซึ้งของหัวใจและน้ำใจของเขา เราจะตามไปดู 

60 กว่าปีก่อน อาร์ต เป็นนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย เขามีเพื่อนร่วมหอพัก ชื่อ  “Sandford Greenberg” หรือ “Sandy” ทั้งสองคนอยู่ที่หอพักด้วยกันเกือบ 3 ปี 

แต่แล้ว Sandy ก็มีอาการผิดปกติ อยู่ดีๆสายตาของเขาวูบลงจนมองไม่เห็น หลังจากได้ไปหาจักษุแพทย์ ความโชคร้ายที่เหนือความคาดหมายก็เกิดขึ้น

แซนดี้ สูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร อยู่ดีๆโลกมืดสนิท โชคชะตาชีวิตที่เปลี่ยนไปขนาดนี้ หนักหนาเกินกว่าเขาจะทำใจรับได้ เพราะแซนดี้อายุเพียง 20 ปี เท่านั้น

เขาเสียใจอย่างหนัก และไม่กลับไปที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย อีกเลย

แต่ “อาร์ต การ์ฟังเกิ้ล” เพื่อนร่วมห้องพัก ไม่ยอมปล่อยให้แซนดี้สิ้นหวัง เขาเดินทางไปหาที่บ้าน และขอให้แซนดี้กลับมาเรียนที่โคลัมเบียอีก และอาสา “จะทำทุกอย่าง ให้แซนดี้เรียนจบ"

เมื่อแซนดี้กลับมาอีกครั้ง อาร์ต อ่านหนังสือตำราให้ฟัง อ่านการบ้านให้ฟัง เดินไปส่งถึงห้องเรียน ซ่อมเครื่องอัดเทปให้ และทำแผลให้ เพราะว่าแซนดี้มองไม่เห็น เดินไปชนอะไรต่างๆ และเกิดบาดแผลเล็กๆน้อยๆ 

อาร์ต ให้ความใส่ใจแม้กระทั่งจัดห้องพัก และสิ่งของต่างๆในห้องให้อยู่ในสภาพเดิม   เพื่อแซนดี้จะใช้ชีวิตในห้องได้สะดวก เพราะแซนดี้คุ้นเคยและจำได้ว่า ของสิ่งใดวางอยู่ตรงไหน

พูดสั้นๆคือ อาร์ต การ์ฟังเกิ้ล ทำตัวเป็นมือเป็นตา ให้แซนดี้ ตลอดเวลา

หลังจากนั้น Sandy เรียนสำเร็จจาก โคลัมเบีย และไปเรียนต่อ จนจบปริญญาเอกที่ ฮาร์วาร์ด แค่นี้ก็น่าทึ่งอย่างมากแล้ว แต่เขายังประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง หลังจบการศึกษา

แซนดี้ประกอบอาชีพอันทรงเกียรติ เป็นที่ปรึกษาของ ประธานาธิบดี และมีเพื่อนคนดังอย่าง Al Gore อดีตผู้สมัครประธานาธิบดี และ Ruth Ginsburg อดีตผู้พิพากษาศาลสูงสุด ของสหรัฐ เป็นต้น

ส่วน Art Garfunkel ก็ก้าวสู่ความสำเร็จสุดยอด เป็นศิลปินระดับโลก ออกแสดงคอนเสิร์ทไปทั่วทุกทวีป รับรางวัลยอดเยี่ยมมากมาย และนั่งอยู่ในหัวใจแฟนเพลงทั้งโลก

เล่ามาถึงตรงนี้ ผมสรุปว่าเรื่องในโซเชี่ยล เป็นเรื่องจริงทั้งหมดครับ แต่ยังมีบางเรื่องที่ไม่ได้กล่าวถึง เพราะเมื่อปี 2563 นี้ แซนดี้ ในวัย 81 ปีได้เขียนหนังสือเล่าเรื่องราวแห่งความหลัง 

แซนดี้ บอกว่า “เสียง” ของ อาร์ต การ์ฟังเกิ้ล “ได้นำผมออกมาจากหลุมศพ” (it lifted me out of the grave) เขาเล่าว่าตอนที่เขาสิ้นหวังกับโลกที่มืดมิดนั้น “อาร์ต ไปหาผม แล้วบอกผมว่า… ผมจะช่วยคุณ”

อาร์ต ถึงขนาดเรียกชื่อตัวเองว่า “โลกมืด” (Darkness) เวลาที่อ่านหนังสือให้แซนดี้ฟัง เขาจะพูดว่า “นี่แซนดี้ ‘Darkness’ จะอ่านหนังสือให้ฟังแล้วนะ”

แซนดี้ เล่าว่า “แม้จะโด่งดังอย่างมากแล้ว แต่ อาร์ต ยังพาผมไปทุกแห่งหน พาไปรายการ “Saturday Night Live” ไปร่วมอัดเสียงร้องเพลง “Parseley, Sage, Rosemary and Thyme” และให้ผมยืนข้างๆ ขณะที่เขาร้องเพลง มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ ที่ศิลปินระดับโลกจะให้ความใส่ใจกับผม ได้ถึงขนาดนี้”

ซึ่งผมเห็นด้วยกับแซนดี้เลยนะครับ

แต่ อาร์ต กลับกล่าวว่า “เพราะแซนดี้นี่แหละ ผมจึงเป็นคนที่ดีขึ้นมาได้ ผมรู้สึกว่าเป็นคนดีขึ้น ในสายตาของผมเอง”

เมื่อเดือนธันวาคม 2563 มีพิธีมอบเงิน 100 ล้านบาท (US$3.00 m) เพื่อสนับสนุนให้นักวิทยาศาสตร์ 13 คน ทำงานวิจัย “เพื่อขจัดภาวะตาบอด ให้หมดสิ้นไปจากโลกนี้” 

ใครเป็นผู้มอบเงิน 100 ล้านบาท รู้ไหมครับ? เขาคือ “Sanford Greenberg” ผู้ที่ชีวิตพลิกผัน จากความมืด ไปสู่ความไม่มืดมิด และพิชิตชะตาชีวิต จนประสบความสำเร็จ มีฐานะและมีครอบครัวที่มีความสุข

ทั้งหมดคงไม่เกิดขึ้น ถ้าไม่ใช่เพราะหัวใจใสสว่าง ของศิลปินนักร้องนามว่า “Art Garfunkel”

เรื่องในโซเชียลที่คุณได้อ่านมา จึงเป็นเรื่อง จริง ครับ แต่เรื่อง จริงๆ มีดีมากกว่านั้นอีก และแซนดี้ ได้เล่ารายละเอียดต่างๆไว้ในหนังสือชื่อ “Hello Darkness, My Old Friend” หลังจากที่เหตุการณ์ผ่านไปแล้วถึง 60 ปี

ผมเห็นว่า อาร์ต การ์ฟังเกิ้ล มีหัวใจที่ใสสะอาดและส่องสว่างเจิดจ้า จึงทำให้แซนดี้ มองเห็นความสว่างสดใสในชีวิต

แต่คนจำนวนไม่น้อย ซึ่งหน้าตาใสสะอาด หัวใจกลับมืดมิด และทำอะไรที่ผิดได้สนิทใจ

มีตัวอย่างให้เห็นในบ้านเรา นับไม่ถ้วนครับ อย่างกรณี ส.ต.ท. หญิง เพียงกรณีเดียว ก็เปิดความเน่าเฟะในหัวใจคน ที่อยู่ในวงการต่างๆได้มากมายแล้ว

มันน่าตกใจจริงๆว่า บ้านเรา “เละเทะ และ เน่าเฟะ” ขนาดนี้แล้วหรือ