สศก.เผยเกษตรกรแห่ขายทุเรียนออนไลน์ส่งออกพุ่ง

สศก.เผยเกษตรกรแห่ขายทุเรียนออนไลน์ส่งออกพุ่ง

สศก. เปิดสำรวจ "ตลาดทุเรียน" ภาคตะวันออก ชี้! ผลผลิตที่มีคุณภาพเกรด A และเกรด B ส่วนใหญ่บรรจุกล่องส่งออกตลาดจีน เผย เกษตรกรมีแนวโน้มการขายทุเรียนแบบออนไลน์มากขึ้น

นางอัญชนา ตราโช รองเลขาธิการ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงการลงพื้นที่สำรวจข้อมูลทุเรียน ภายใต้โครงการศึกษาบทบาทของผู้ประกอบการธุรกิจผลไม้ที่มีต่อผลไม้ไทยใน จ.จันทบุรี ระยอง และตราด ระหว่างวันที่ 25-29 มี.ค. 2562 พบว่า ผลผลิตทุเรียนที่มีคุณภาพส่วนใหญ่ เกษตรกรจะจำหน่ายแบบเหมาสวนให้กับล้ง และเลือกจำหน่ายทุเรียนแก่ล้งที่ให้ราคาดีกว่า เพื่อส่งออกไปยังตลาดจีน ซึ่งขณะนี้ยังมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง โดยผู้ประกอบการโรงคัดบรรจุทุเรียน (ล้ง) ได้เปิดทำการรับซื้อทุเรียนตั้งแต่ช่วงประมาณกลางเดือน มี.ค. 2562 เป็นต้นมา

สำหรับเกรดพรีเมียมส่งห้างสรรพสินค้าภายในประเทศ เช่น Tops, Makro และ The Mall โดยผลผลิต เกรด A และ เกรด B ราคารับซื้อเหมาสวนอยู่ที่ประมาณกิโลกรัมละ 115–130 บาท เกรด C กิโลกรัมละ 90 บาท และ เกรดรวม (คละไซส์ทุกลูก) กิโลกรัมละ 120 บาท ในขณะที่ เกรดพรีเมียม กิโลกรัมละ 135-140 บาท ทั้งนี้ สำหรับ ผลผลิตตกเกรด ซึ่งส่วนใหญ่กระจายตลาดภายในประเทศ อยู่ที่กิโลกรัมละ 85 บาท

นอกจากนี้ เกษตรกรมีแนวโน้มการขายทุเรียนแบบออนไลน์ผ่าน Facebook และ Line มากขึ้น โดยมีการรับประกันคุณภาพและมีบริการจัดส่งผ่าน บริษัท ไปรษณีย์ไทย และ บริษัท เคอรี่ จำกัด ทำให้เกษตรกรได้รับราคาจำหน่ายสูงกว่าตลาดทั่วไป และหากขายยกกล่องตามน้ำหนักสามารถคละเกรดในการจำหน่ายได้ด้วย รวมถึงการขายแบบเหมาต้นทุเรียนในสวน ราคากิโลกรัมละ 150 บาททุกลูก เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม นอกจากล้งจะเป็นผู้รวบรวมผลผลิตรายใหญ่จากเกษตรกรในพื้นที่แล้ว สหกรณ์การเกษตรหลายสหกรณ์ในภาคตะวันออกก็มีบทบาทสำคัญในการรวบรวมผลผลิตทุเรียนจากเกษตรกรสมาชิก เป็นตัวกลางในการซื้อขายผลผลิต และการคัดคุณภาพระหว่างเกษตรกรและบริษัทคู่ค้าด้วย โดยมีการรับรองคุณภาพมาตรฐานและสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ ทำให้ราคาที่เกษตรกรได้รับสูงกว่าตลาดทั่วไป และหากเกษตรกรรายใดที่มี GAP จะได้รับราคาจำหน่ายเพิ่มอีกกิโลกรัมละ 2 บาท นอกจากนี้ บางสหกรณ์ยังมีห้องเย็นในการแปรรูปเป็นทุเรียนแช่แข็งและแกะเปลือกส่งออกตลาดต่างประเทศ เช่น จีนและสหรัฐอเมริกา อีกทั้งสามารถรองรับผลผลิตที่ตกเกรดจากการส่งออกได้ โดยราคารับซื้ออยู่ที่ประมาณกิโลกรัมละ 50-60 บาท รวมไปถึงการรับจ้างบรรจุภัณฑ์ (Packing) และให้เช่าสถานที่ในการคัดบรรจุกับบริษัทส่งออก ซึ่งในอนาคต คาดว่าการส่งออกทุเรียนแช่แข็งจะสามารถขยายตลาดต่อไปได้อีก

รองเลขาธิการ สศก. กล่าวต่อไปว่า จากที่กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมวิชาการเกษตร ได้มีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ไปยังผู้ประกอบการและเกษตรกรถึงระบบการตรวจสอบคุณภาพผลไม้ของจีน ซึ่งจะมีความเข้มงวดมากขึ้นนั้น ทำให้เกษตรกรมีความตื่นตัวในการขึ้นทะเบียนและรับรองมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP) เพื่อยื่นยืนยันที่โรงคัดบรรจุมากขึ้น โดยปี 2562 (ข้อมูลสะสม ณ วันที่ 29 มี.ค. 62 สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตร เขตที่ 6 จ.จันทบุรี) พบว่า มีจำนวนเกษตรกรภาคตะวันออกที่จดทะเบียนรับรองแหล่งผลิต (GAP) ทุเรียนแล้ว 4,121 ราย รวมพื้นที่ 55,953.12 ไร่ เพิ่มขึ้นจากปี 2561 ถึงร้อยละ 77 ส่วนด้านโรงคัดบรรจุจะต้องผ่านมาตรฐานหลักเกณฑ์และวิธีการที่ดีในการผลิต (GMP) เพื่อยืนยันสำหรับการส่งออก โดยระบุรหัสโรงคัดบรรจุลงบนใบรับรองสุขอนามัยพืช (PC) ด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ ปัญหาของเกษตรกร คือ แรงงานภาคเกษตรที่มีค่าแรงที่เพิ่มขึ้น และการขาดแคลนแรงงานในสวนผลไม้และที่โรงคัด ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากการดูแลรักษาต้นทุเรียน และค่าใช้จ่ายในการซื้อน้ำมารดสวน เนื่องจากภัยแล้ง ดังนั้น เกษตรกรควรลดต้นทุน โดยการใช้ยาและสารเคมีตามความจำเป็น รวมทั้งภาครัฐให้การสนับสนุนการรวมกลุ่มเพื่อผลิตปุ๋ยหมักและปุ๋ยอินทรีย์ใช้เอง มีการวางแผนให้ผลผลิตออกสู่ตลาดในแต่ละเดือน และบำรุงรักษาต้นเพื่อให้ผลผลิตมีคุณภาพ ตลอดจนการนับวันดอกบานและกำหนดวันเก็บเกี่ยว เพื่อไม่ให้มีทุเรียนอ่อนออกสู่ตลาด ซึ่งจะช่วยให้เกษตรกรมีโอกาสได้รับกำไรมากขึ้น และสามารถทำสวนผลไม้ได้อย่างยั่งยืนต่อไป