กลุ่มผู้ถือหุ้นกู้เอิร์ธ ร้อง ปปง.เร่งสอบเส้นทางการเงิน หลังเงินหายจากระบบ หวั่นถูกถ่ายเทออกนอกประเทศ ยากต่อการติดตามคืน. ด้านรองเลขาฯปปง.เผยอนุมัติสอบธุรกรรมการเงินแล้ว พร้อมขยายผลเชิงลึกถึงผู้บริหารกรุงไทย
6 ธ.ค. 61 เวลา 09.30 น. นพ.จรูญศักดิ์ เธียรประพันธ์ หนึ่งในผู้เสียหาย พร้อมด้วยตัวแทนผู้เสียหาย 40 ราย จากการลงทุนหุ้นกู้ บริษัท เอ็นเนอร์ยี่เอิร์ธ จำกัด (มหาชน) หรือ EARTH เข้ายื่นหนังสือต่อ พล.ต.ต.ปรีชา เจริญสหายานนท์ รักษาราชการแทนเลขาธิการ ปปง. เพื่อเร่งรัดตรวจสอบเส้นทางการเงินของบริษัทดังกล่าว เนื่องจากมีการกระทำเข้าข่ายความผิดมูลฐานการฟอกเงิน
นพ.จรูญศักดิ์ กล่าวว่า กรณีบริษัทเอิร์ธ มีการกระทำผิดทั้งในส่วนของลูกหนี้และเจ้าหนี้สถาบันที่ไม่สามารถมีเอกสารหลักฐานน่าเชื่อถือยืนยันหรือตรวจสอบได้อย่างชัดเจน ทำให้ผู้ถือหุ้นกู้มีความสงสัยในกระบวนการบริหารงานของบริษัท รวมถึงการออกหุ้นกู้ของบริษัทเอิร์ธ มีความบริสุทธิ์ ยุติธรรมแก่ผู้ถือหุ้นกู้เพียงใด เพราะปรากฎภายหลังว่ามีเงินจำนวนมากสูญหายออกไปจากระบบทั้งๆ ที่การลงทุนในครั้งนี้ผู้ถือหุ้นกู้ได้พิจารณาแล้วว่าบริษัทเอิร์ธอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ภายใต้การดูแลของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยมีธนาคารของรัฐเป็นผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ชวนให้ลงทุนและเป็นนายทะเบียน
นพ.จรูญศักดิ์ กล่าวว่า ขณะที่เมื่อเดือนต.ค.61 ที่ผ่านมา ธนาคารกรุงไทย ได้ชี้แจงผลการตรวจสอบภายในยอมรับว่ามีบุคคลภายนอกและภายในทุกระดับของธนาคารกระทำความผิดจริงจนก่อให้เกิดความเสียหายในหลายขั้นตอนและจะดำเนินการตามกระบวนการกฎหมาย แต่ขณะนี้ทางธนาคารกรุงไทยยังไม่ได้สรุปผลการตรวจสอบภายในให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับทราบอย่างเป็นทางการ กระทั่งเมื่อวันที่ 20 พ.ย. กลุ่มผู้เสียหาย เดินทางเข้าพบ ผู้บริหารธนาคารกรุงไทย ซึ่งรับปากว่าจะดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในกลางเดือน ธ.ค.นี้ และทราบว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กำลังเร่งขอผลการตรวจสอบภายในของธนาคารกรุงไทยอยู่ พร้อมทั้งมีการประสานงานกับ ป.ป.ง. เพื่อตรวจสอบเส้นทางการเงินจากการทุจริตในกรณีดังกล่าว
“วันนี้กลุ่มผู้เสียหายเดินทางมา ปปง. เพื่อขอความเป็นธรรมให้ช่วยเร่งรัดติดตามเส้นทางการเงินจากผู้ที่ทำให้เกิดความเสียหายทั้งหมด มาดำเนินคดีตามขั้นตอนกฎหมายและนำเงินกลับมาชดใช้คืนแก่ผู้ถือหุ้นกู้เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อน เพราะหากล่าช้าโอกาสจะถูกถ่ายเททรัพย์สินไปยังบุคคลอื่นๆ หรือถ่ายโอนออกนอกประเทศ จะติดตามเงินกลับมายากขึ้น”นพ.จรูญศักดิ์ กล่าว
ด้านพล.ต.ต.ปรีชา เจริญสหายานนท์ รักษาราชการแทนเลขาธิการ ปปง. กล่าวว่า คดีดังกล่าวแยกออกเป็น 2 ส่วน โดยกรณีปลอมแปลงใบตราส่งสินค้าทางเรือ (Bill of lading-B/L) นำเข้าถ่านหินจากประเทศอินโดนีเซียมาใช้เป็นหลักฐานในการกู้เงินจากธนาคารกรุงไทย ซึ่งธนาคารกรุงไทยเป็นผู้เสียหายได้มีหนังสือแจ้งความร้องทุกข์ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ต่อมาเดือน ต.ค.61 ดีเอสไอมีหนังสือมายัง ปปง. ขอให้พิจารณาดำเนินการตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 กับบริษัทเอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ จำกัด (มหาชน) กับพวก ตามความผิดมูลฐานฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ ตามมาตรา 3(18) โดยหลังจาก ปปง.รับเรื่องแล้วได้มีการเสนอต่อคณะกรรมการธุรกรรม เพื่อพิจารณามอบหมายให้สอบธุรกรรมทางการเงินหรือทรัพย์สินทันที ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบเส้นทางการเงินของผู้ที่เกี่ยวข้อง ส่วนกรณีธนาคารกรุงไทยปล่อยขายหุ้นกู้บริษัทเอิร์ธให้กับผู้เสียหายนั้น ทางดีเอสไอเพิ่งส่งหนังสือมาให้ปปง. ดำเนินการกับบริษัทเอิร์ธ ซึ่งเราก็ไม่ได้นิ่งนอนใจกำลังรวบรวมหลักฐานเพื่อเสนอให้คณะกรรมการธุรกรรมตรวจสอบข้อเท็จจริงได้เร็วๆ นี้ หากคณะกรรมการธุรกรรมพิจารณาแล้วเห็นว่าคดีมีมูลฐานความผิดเกี่ยวกับการฟอกเงินก็จะมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเชิงลึก พร้อมประสานข้อมูลจากดีเอสและธนาคารกรุงไทยว่าเงินถูกโอนย้ายไปที่ไหน มีการถ่ายเทออกนอกประเทศหรือไม่ เพื่ออายัดทรัพย์ต่อไป