'นางแบบสาว' ฟ้องแพ่งธนาคาร! ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ดูดเงินหาย 1.6 ล้าน

'นางแบบสาว' ฟ้องแพ่งธนาคาร! ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ดูดเงินหาย 1.6 ล้าน

ศาลนัดไกล่เกลี่ยก.พ.ปีหน้าหลัง "ปิ๊ก ธนิตา" นางแบบ-ดาราอิสระ ฟ้องธนาคาร รับผิดชอบไม่เข้มงวดแจ้งเตือนเจ้าของบัญชี หลังพบแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกถามรหัส สูญนับล้าน

เมื่อวันที่ 15 พ.ย.61 ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา "น.ส.ธนิตา หรือปิ๊ก จิรพณิช" อายุ 35 ปี นางแบบ-นักแสดงอิสระ เดินทางมาพร้อม "นายเฉลิมพงษ์ กลับดี" หัวหน้ามูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ยื่นฟ้อง ธนาคารดังแห่งหนึ่ง และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนแห่งหนึ่ง เป็นจำเลยที่ 1-2 ต่อแผนกคดีผู้บริโภค ในความผิดเรื่องกระทำละเมิด , เรียกทรัพย์คืน ภายหลังแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่แอบอ้างใช้รหัสยืนยันตัวโอนเงินออกจากบัญชีผ่านแอพลิเคชั่นของธนาคารจนโจทก์สูญเงินจากบัญชีไปนับล้านบาท จึงให้จำเลยชดใช้ เงินจำนวน 1,670,200 บาทของโจทก์ที่สูญเสียไป พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี (เงินรวมดิกเบี้ยทั้งสิ้น 1,780,830 บาท) โดยศาลรับฟ้องคดีไว้ และนัดเจรจาไกล่เกลี่ยคู่ความวันที่ 16 ก.พ.62 เวลา 09.00 น.

ขณะที่ "นางแบบอิสระสาว" เล่าย้อนเหตุการณ์ให้ฟังว่า เรื่องเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อปลาย 2560 โดยตนถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรศัพท์มาหลอกว่า ตนถูกดำเนินคดีกู้เงินไปซื้อที่ดิน ที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ก่อนหลอกพูดคุยเรื่องการทำธุรกรรมทางการเงิน จนถามรหัสยืนยันตัวตนเพื่อเข้าใช้แอพลิเคชั่นธนาคารทางโทรศัพท์ โดยภายหลังจึงทราบว่าเงินในบัญชีของตนที่ฝากไว้กับธนาคารดังกล่าวถูกโอนไปทั้งหมด 50 ครั้ง ในระยะเวลาเพียง 9 วัน เมื่อสอบถามไปยังธนาคารกลับไม่แสดงความรับผิดชอบใดๆ จึงออกมาฟ้องศาลในวันนี้

ในฐานะประชาชนผู้ใช้บริการ ตนอยากให้ธนาคารมีวิธีป้องกันที่มีมาตรฐาน โดยเฉพาะหากพบว่ามีการทำธุรกรรมที่ผิดปกติ ควรต้องรีบแจ้งหรือตรวจสอบกับเจ้าของบัญชี เพื่อป้องกันความเสียหายที่เกิดขึ้น รวมทั้งทุกครั้งที่มีการเข้าระบบเพื่อทำธุรกรรม ควรมีข้อความหรืออีเมลแจ้งมายังเจ้าของบัญชี แต่กรณีนี้กลับไม่มีการดำเนินการใดๆเลย กระทั่งตนมาตรวจสอบบัญชีเองจึงทราบเรื่อง และสูญเงินจำนวนมหาศาลไปแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคำฟ้องโจทก์ได้บรรยายพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 15 ส.ค.49 โจทก์เปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์กับธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาเอกมัย พร้อมเปิด ต่อมาวันที่ 26 มิ.ย.50 โจทก์เปิดใช้บริการซื้อขายหน่วยลงทุนเปิดเอสซีบีเอฟพี กับจำเลยที่ 2 ที่สาขาเหม่งจ๋าย แล้ววันที่ 14 ก.ย.57 ก็ได้เปิดใช้บริการซื้อขายหน่วยลงทุนดับบลิวไอเอ็นอาร์ และกองทุนตราสารหนี้กับจำเลยที่ 2 ที่สาขาเซ็นทรัลพระรามเก้า และเมื่อวันที่ 29 มิ.ย.59 โจทก์เปิดบัญชีออมทรัพย์กับจำเลยที่ 1 สาขาบิ๊กซีรัชดาภิเษก เอาไว้ แต่แล้วในเดือน ธ.ค.60 มีกลุ่มคนร้ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ได้หลอกลวงเอาข้อมูลของโจทก์ เช่นหมายเลขบัตรประชาชน , ข้อมูล ATM , รหัส OTP แล้วสมัครอินเตอร์เน็ตแบ็งกิ้งผ่านแอปพลิเคชั่นในสมาร์ทโฟนของคนร้าย แล้วเข้าทำธุรกรรมทางการเงินกับจำเลยโดยช่องทางแอปพลิเคชั่น ซึ่งได้โอนเงินโจทก์ออกจากบัญชีไปรวม 50 ครั้ง ระหว่างวันที่ 27 ธ.ค.60 - 4 ม.ค.61 ครั้งละ 10,000 - 373,000 บาท รวม 1,670,200 บาท ซึ่งจำเลยมีหน้าที่ตรวจสอบ รักษาความมั่นคงปลอดภัยควบคุมการเข้าถึงข้อมูล แต่กลับไม่แจ้งเตือน ไม่ตรวจสอบ ภายหลังมาทราบภายหลังจึงแก้ไขระบบอินเตอร์เน็ตแบ็งคกิ้ง การกระทำของจำเลยในฐานะผู้รับฝากเงิน ควรใช้ความระมัดระวังตรวจสอบการเข้าถึงข้อมูลและใช้ความระมัดระวัง แต่กลับใช้ความระมัดระวังต่ำกว่าผู้รับฝากทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ที่เงินในบัญชีถูกโอนออกไป