เครือข่ายสองฝั่งทะเลฯ ยุติโรงไฟฟ้าถ่านหิน เตรียมบุก.พลังงาน19พ.ย.นี้

เครือข่ายสองฝั่งทะเลฯ ยุติโรงไฟฟ้าถ่านหิน เตรียมบุก.พลังงาน19พ.ย.นี้

เครือข่ายสองฝั่งทะเล กระบี่-เทพา ยุติโรงไฟฟ้าถ่านหิน เตรียมบุกกระทรวงพลังงาน 19 พ.ย.นี้ ขอร่วมฟังผลคัดเลือกจ้างทีมที่ปรึกษาจัดทำ “เอสอีเอ” ลั่น หากจุฬาฯคว้างบ 50 ล้านบาท เชื่อปัญหาขัดแย้งไม่จบ อ้างมีประวัติหนุนถ่านหินชัดเจน

วันนี้(15พ.ย.) เวลา 9.30น. ตัวแทนเครือข่ายสองฝั่งทะเล กระบี่-เทพา ยุติโรงไฟฟ้าถ่านหิน นำโดยประสิทธิชัย หนูนวล ผู้ประสานงานเครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหิน และนายธีระพจน์ กษิรวัฒน์ นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวเกาะลันตา ได้เดินทางมาอาคารเอนเนอร์ยี่คอมเพล็กซ์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของกระทรวงพลังงาน เพื่อยื่นหนังสือถึงนายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ขอให้คัดเลือกผู้จัดทำSEA พลังงานภาคใต้ด้วยความโปร่งใส โดยมีนายธีรศักดิ์ จรัสศรีวิสิษฐ์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงพลังงาน และนางพัทธ์ธีรา สายประทุมทิพย์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารกลาง และเลขานุการคณะกรรมการกำกับการศึกาาการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ สำหรับพิ้นที่จัดตั้งโรงไฟฟ้าถ่านหินในภาคใต้(SEA) เป็นตัวแทนรับหนังสือดังกล่าว


โดยเนื้อสารในหนังสือระบุว่า ตามที่ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้ลงนามข้อตกลงกับเครือข่ายฯ เพื่อให้เกิดการประเมินผลเชิงยุทธศาสตร์กรณีความขัดแย้งโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา กระบี่ อันจะนำไปสู่การกำหนดเชิงนโยบายที่ถูกต้องเกี่ยวกับการจัดการพลังงานในภาคใต้ รวมถึงการขจัดข้อขัดแย้งต่อกรณีการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินทั้งสองพื้นที่


เครือข่ายฯ จึงขอเรียกร้องให้กระบวนการจัดทำSEA จะต้องมีจุดเริ่มต้นที่ดีโดยคำนึงถึง 2 ประเด้นสำคัญ คือ 1.ผู้ทำการประเมินเชิงยุทธศาสาตร์จะต้องเป็นที่ยอมรับถึงความเป็นกลางโดยไม่มีประวัติของนักวิชาการผู้ทำการประเมินซึ่งแสดงเจตนารมณ์เอนเอียงไปยังแนวทางใดแนวทางหนึ่งมาก่อน


2.วิธีการประเมินผลจะต้องสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมจากหลายภาคส่วนโดยมิเพียงเน้นด้านเทคนิคการประเมินเท่านั้น เพราะหัวใจสำคัญของการประเมินเชิงยุทธศาสาตร์คือการสร้างทางเลือกการพัฒนา


ดังนั้น ในกระบวนการคัดเลือกที่ปรึกษาจัดทำSEA จึงขอให้รัฐมนตรีกำชับให้กรรมการทำหน้าที่อย่างซื่อตรง และไม่คัดเลือกผู้ที่มีประวัติไม่เป็นกลางมาจัดทำรายงานการประเมินผลเชิงยุทธศาสตร์ เพราะจะนำไปสู่ความขัดแย้งครั้งใหม่ เนื่องจากการไม่ยอมในตัวผู้ประเมินผล อีกทั้งของให้กรรมการเปิดเผยวิธีการทำงานการประเมินผลและรายชื่อนักวิชาการของผู้เข้ารับการคัดเลือกทั้งหมดให้สาธารณะรับทราบ


นายประสิทธิชัย กล่าวว่า ทางเครือข่ายฯต้องการให้ภาครัฐ เปิดโอกาสให้ภาคประชาชนร่วมรับทราบการคัดเลือกทีมที่ปรึกษาจัดทำSEA ตั้งแต่ต้น หลังทราบว่าขณะนี้เหลือมหาวิทายลัยที่มีคะแนนสูงสุดเพียง 2 มหาวิทยาลัย คือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) ซึ่งเครือข่ายฯมีความเป็นห่วง หากสุดท้ายแล้วผู้ได้รับการคัดเลือกให้เป็นที่ปรึกษาฯคือ จุฬาฯ เพราะหากย้อมดูประวัติในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา นักวิชาการของจุฬาฯมีท่าทีชัดเจนในการสนับสนุนโรงไฟฟ้าถ่านหิน ถึงแม้ว่าในทีมที่ปรึกษาจะมีทีมงานร่วมกับอีกหลายมหาวิทยาลัย แต่ก็ไม่ได้เป็นเครื่องรับประกันว่าผลการศึกษาจะเป็นกลาง ฉะนั้น หากผลการศึกษาออกมาแล้วไม่เป็นที่ยอมรับ อาจส่งผลให้กระบวนการต่างๆล้มเหลวได้


“ในวันที่ 19 พ.ย.นี้ คณะกรรมการSEA จะเชิญทั้ง 2 มหาวิทยาลัยที่มีคะแนนสูงสุดคือ จุฬาฯ และ นิด้า มาพรีเซ็นต์ข้อมูลเพื่อลงคะแนนคัดเลือกที่ปรึกษานั้น ทางเครือข่ายฯจะมาร่วมติดตามผล ซึ่งหากจุฬาฯชนะ เชื่อว่าต้องมีปัญหาเกิดขึ้นแน่ เราไม่ได้เป็นห่วงว่ากระบวนการศึกษาSEA จะล่าช้าไหม แต่ต้องการให้ผลการศึกษาเป็นที่ยอมรับ เพราะ 5ปีที่ผ่านมาเราทะเลาะกันเรื่องของถ่านหินมามากแล้ว” นายประสิทธิชัย กล่าว


นายธีระพจน์ กล่าวว่า เครือข่ายฯเป็นห่วงด้านข้อเสนอของทีมที่ปรึกษาเรื่องของทางเลือกเชื้อเพลิงจะเหมาะสมต่อการผลิตไฟฟ้าของภาคใต้ หากได้ทีมที่ปรึกษาฯที่เอนเอียง ซึ่งปัจจุบันนี้ ภาคใต้กำลังเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าในพื้นที่ด้วยพลังงานทดแทน โดยเฉพาะโซลาร์เซลล์ที่เกาะลันตา และเตรียมขยายโมเดลของเกาะลันตาไปฝั่งอันดามัน ซึ่งหากสำเร็จในอนาคตภาคใต้ยิ่งไม่มีความจำเป็นต้องสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่จะส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวในพื้นที่ที่มูลค่าราว 5 แสนล้านบาท


ด้านนางพัทธ์ธีรา กล่าวว่า จะนำข้อห่วงใยต่างๆรายงานให้คณะกรรมการSEA รับทราบ และยืนยันว่า คณะกรรมการฯมีความเป็นกลาง และเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือกที่ปรึกษาฯโปร่งใส ให้นำหนักทั้งคะแนนบุคคล และกระบวนการศึกษา โดยขณะนี้เหลือ 2 ทีมที่จะต้องมานำเสนอรายละเอียดแผนงานในกระบวนการศึกษาต่อคณะกรรมการฯอีกครั้ง ซึ่งภายในเดือนพ.ย.นี้ จะได้ทีมที่ปรึกษาฯ และส่งรายชื่อให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.)พิจารณาเพื่อรับงบประมาณ 50 ล้านบาทในการว่าจ้างฯศึกษาSEA ต่อไป


ทั้งนี้ คาดว่า กระบวนการศึกษาจะเริ่มได้ภายในเดือนธ.ค.นี้ และภายใน 5 เดือน จะต้องได้คำตอบว่า ในพื้นที่จ.กระบี่ และเทพา จำเป็นต้องมีโรงไฟฟ้าถ่านหินเกิดขึ้นหรือไม่ และภายใน 9 เดือนจะได้รับคำตอบที่ครอบคลุมทั้ง 15 จังหวัดในภาคใต้