'พาณิชย์' เปิดเวทีขายข้าว ดันเป้า 11ล้านตัน

'พาณิชย์' เปิดเวทีขายข้าว ดันเป้า 11ล้านตัน

"พาณิชย์" เปิดเจรจาซื้อขายข้าว นำผู้ซื้อต่างประเทศกว่า 160 ราย เข้าเจรจาการค้ากับผู้ประกอบการไทยกว่า 170 ราย คาดเกิดคำสั่งซื้อรวมกว่า 3 หมื่นล้านบาท พร้อมลงนามซื้อข้าว 4 ฉบับ



นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ได้เปิดการเจราธุรกิจสินค้าข้าวและผลิตภัณฑ์จากข้าว ระหว่างผู้นำเข้าข้าวต่างประเทศและผู้ประกอบการไทยซึ่งมีผู้ซื้อผู้นำเข้าเดินทางมาร่วมเจรจาธุรกิจกว่า 160 ราย จาก 28 ประเทศทั่วโลก อาทิ จีน ฮ่องกง แคนาดา สหรัฐอเมริกา ยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง อาเซียน และมีผู้ประกอบการไทยกว่า 170 ราย เข้าร่วมการเจราในครั้งนี้


การจับคู่ธุรกิจครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อผลักดันการค้าระหว่างประเทศของไทยในการขยายลู่ทางการส่งออกสินค้าข้าวและผลิตภัณฑ์จากข้าวสู่ตลาดโลกให้ได้มากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังสามารถดูดซับผลผลิตออกจากตลาดในช่วงต้นฤดูกาลเก็บเกี่ยว และพยุงราคาสินค้าให้แก่พี่น้องเกษตรกร โดยได้มอบหมายให้ทูตพาณิชย์ทั่วโลกเชิญผู้ซื้อ/ผู้นำเข้าจากตลาดที่มีศักยภาพและมีกำลังซื้อสูงเดินทางมาเข้าร่วมกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ และคาดว่าจะก่อให้เกิดคำสั่งซื้อทันทีประมาณ 1,500 ล้านบาท และคำสั่งซื้อใน 1 ปีอีกประมาณ 3 หมื่นล้านบาท
นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า ปีนี้กระทรวงฯ ได้รับข่าวดีว่า ราคาข้าวเปลือกหอมมะลิมีราคาสูงถึง 16,000 - 17,000 บาท ในขณะที่ข้าวเปลือกแห้งมีราคาสูงถึง 18,000 บาท ในบางพื้นที่ และเตรียมมาตรการสำคัญในการสนับสนุน อาทิ การจัดหารถเกี่ยวข้าว นวดข้าวในราคายุติธรรมให้แก่พี่น้องชาวนา พร้อมกับการสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพให้แก่ผู้นำเข้าในคราวเดียวกัน เชื่อมั่นว่าจะสามารถเร่งรัดการส่งออกข้าวของไทย สู่ตลาดโลกให้บรรลุได้ตามเป้าหมาย 11 ล้านตัน


ทั้งนี้ได้มีการลงนามความตกลง MOU ระหว่างผู้นำเข้าข้าวต่างประเทศกับผู้ประกอบการไทย จำนวน 4 ฉบับ รวม 93,000 ตัน ได้แก่


- ฉบับแรก ได้แก่ การลงนามระหว่าง 759 Store ซึ่งเป็นผู้นำเข้าและซุปเปอร์มาร์เก็ตที่มี 224 สาขาทั่วเกาะฮ่องกง กับบริษัท Siam Diamond Export Rice จำกัด เพื่อสั่งซื้อข้าวหอมมะลิไทย จำนวน 10,000 ตัน


- ฉบับที่สอง ได้แก่ การลงนามระหว่าง 759 Store ของฮ่องกง กับบริษัท Global Rice Intertrade จำกัด เพื่อสั่งซื้อข้าวหอมปทุมธานี จำนวน 4,000 ตัน


โดยทาง 759 Store ยังต้องการนำเข้าผลิตภัณฑ์ข้าวเพื่อเจาะตลาดภัตตาคารและร้านค้าทั่วไปด้วย


- ฉบับที่สาม เป็นการลงนามการลงนามระหว่างบริษัท Everflowing Fortune Trading Inc.
จากฟิลิปปินส์ กับบริษัท Asia Golden Rice จำกัด โดยจะลงนามสั่งซื้อข้าวขาวไทย 5% 15% และ 25%
รวมจำนวน 70,000 ตัน และข้าวหอมมะลิไทย อีกจำนวน 5,000 ตัน


- ฉบับที่สี่ เป็นการลงนามการลงนามระหว่างบริษัท Guangdong Youliang Grain & Oil Industrial Co., Ltd. จากจีน กับบริษัท Homkula จำกัด โดยจะลงนามสั่งซื้อข้าวหอมมะลิไทย GI และข้าวหอมมะลิไทยออร์แกนิกส์ รวมจำนวน 4,000 ตัน
สำหรับโครงการจับคู่ธุรกิจสินค้าข้าวและผลิตภัณฑ์จากข้าวเพื่อเร่งรัดการส่งออกครั้งนี้ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 7 – 10 พฤศจิกายน 2561 โดยหน่วยงานต่างๆ ของกระทรวงพาณิชย์ ได้แก่ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ บูรณาการการทำงานร่วมกับกรมการค้าต่างประเทศ กรมการค้าภายใน กรมทรัพย์สินทางปัญญา และภาคเอกชน ได้แก่ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย และสมาคมโรงสีข้าวไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อเร่งรัดการส่งออกข้าวและผลิตภัณฑ์จากข้าวของไทย อีกทั้งกระตุ้นให้ผู้ประกอบการไทยตระหนักถึงการแปรรูปข้าวเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และประชาสัมพันธ์ข้าวชนิดใหม่และข้าวสีของไทยให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายมากยิ่งขึ้น อาทิ ข้าวกข 43 ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ข้าวหอมนิล และข้าวหอมมะลิแดง
ภายในงานยังได้จัดนิทรรศการเกี่ยวกับข้าว ข้าวสี และนวัตกรรมข้าวของไทย

อีกทั้งยังมีการสาธิตการประกอบอาหารจากข้าวและผลิตภัณฑ์จากข้าว การชิมข้าวไทยจากผลิตภัณฑ์อาหาร Ready to Cook และ Ready to Eat ที่ได้ตรารับรอง Thai SELECT และการนำผู้ซื้อ ผู้นำเข้าจากต่างประเทศเข้าเยี่ยมชม สถานประกอบการสินค้าข้าว ได้แก่ ศูนย์เรียนรู้วิถีชีวิตและจิตวิญญาณชาวนาไทย (นาเฮียใช้) จังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อให้เห็นถึงวิถีชีวิตและแสดงศักยภาพในการเป็นผู้ผลิตข้าวและผลิตภัณฑ์แปรรูปจากข้าวของไทย สร้างความมั่นใจในคุณภาพมาตรฐานข้าว ตลอดจนสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและประชาสัมพันธ์ศักยภาพของข้าวไทย นำไปสู่การขยายลู่ทางการส่งออกสู่ตลาดโลก


สินค้าข้าวเป็นสินค้าเกษตรที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ มีมูลค่าส่งออกเป็นลำดับต้นๆ ของสินค้าเกษตรทั้งหมดที่ไทยส่งออก ในปี 2561 ตั้งแต่เดือนมกราคม – กันยายน ไทยส่งออกข้าวปริมาณ 8.12 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 4,101 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.13 จากช่วงเดียวกันของปี 2560 ตลาดส่งออกหลักได้แก่ เบนิน สหรัฐอเมริกา อินโดนีเซีย จีน และฟิลิปปินส์