TFFIF จ่อขายหน่วยลงทุน 12 – 19 ต.ค.นี้

TFFIF จ่อขายหน่วยลงทุน 12 – 19 ต.ค.นี้

กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (TFFIF) เตรียมเปิดขายหน่วยลงทุนวันที่ 12-19 ต.ค.61 ผ่าน 5 ช่องทาง พร้อมประเมินกรอบราคาขายเบื้องต้น 10 บาท/หน่วย คาดเคาะราคาสุดท้าย 22 ต.ค. ก่อนเทรดใน SET 31 ต.ค.นี้ ด้านผลตอบแทนปี62 มองไว้ที่ 4.75-5.30% ปั

นายอนุวัฒน์ ร่วมสุข กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่ากองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (TFFIF) คาดจะสามารถเปิดขายหน่วย 12-19 ต.ค.2561ผ่านช่องทางธนาคารกรุงไทยทุกสาขา,ธนาคารกรุงเทพทุกสาขายกเว้นสาขา Micro,บลจ.เอ็มเอฟซี,บลจ.กรุงไทยสำนักงานใหญ่,บล.ฟินันเซียไซรัสทั่วประเทศ และบล.ภัทรสามารถเข้าจองซื้อได้เฉพาะลูกค้าเท่านั้น และคาดว่าสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และซื้อขายได้ในวันที่ 31 ต.ค.2561

ทั้งนี้คาดกรอบราคาหน่วยลงทุนกอง TFFTF อยู่ที่ไม่เกิน 10 บาทต่อหน่วย และจะกำหนดราคาสุดท้ายวันที่ 22 ต.ค.นี้ โดยจำนวนหน่วยลงทุนขั้นต่ำในการจองซื้อ 1,000 หน่วย และเพิ่มครั้งละ 100 หน่วย โดยมีจำนวนหน่วยลงทุนที่จะเสนอขายแก่ประชาชนทั่วไปในครั้งแรก (IPO) จำนวน 4,100- 4,570 ล้านหน่วย และคาดว่าจำนวนเงินเบื้องต้นที่จะได้จากการเสนอขายส่วนเพิ่มทุนจะอยู่ที่ 41,000-45,700 ล้านบาท โดยจำนวนเงินดังกล่าวจะสามารถสรุปชัดเจนอีกครั้งในวันที่ 12 ต.ค.นี้

ขณะที่ประเมินอัตราผลตอบแทนเงินปันผลปีแรก(ปี2562) จะอยู่ที่ 4.75 - 5.30% ซึ่งจะมีนโยบายการจ่ายปันผลขั้นต่ำจำนวน 2 ครั้งต่อปี และคาดหวังในอนาคตจะจ่ายเงินปันผลไตรมาสละ 1 ครั้ง โดยเงินปันผลจะมาจากส่วนแบ่งรายได้ค่าผ่านทางรวมสุทธิ 45% โดยจะมีการประมาณการอัตราผลตอบแทนสุดท้ายในวันที่ 12 ต.ค.นี้เช่นกัน

ส่วนการเสนอขายหน่วยลงทุนดังกล่าวจะจัดสรรให้กับ 4 กลุ่มหลักๆ ได้แก่1.กระทรวงการคลังจำนวน 310-357 ล้านหน่วย โดยมีนโยบายว่ากระทรวงการคลังต้องถือหน่วยลงทุนไม่ต่ำกว่า 10% และต้องไม่ขายหน่วยลงทุนในช่วง 5 ปีแรก 2.ผู้จองซื้อพิเศษ หรือสถาบันต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ จำนวน 615-686 ล้านหน่วย 3.ผู้ลงทุนหลักโดยเฉพาะเจาะจง หรือผู้ลงทุนสถาบันขนาดใหญ่ทั้งในประเทศและต่างประเทศที่มีความรู้ความเข้าใจเป็นอย่างดี จำนวนไม่เกิน 1,230-1,371 ล้านหน่วย และ 4. ประชาชนทั่วไป จำนวน 1,845-2,056 ล้านหน่วย โดยสัดส่วนเบื้องต้นดังกล่าวอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ แต่จะไม่เกิน 15-20% ของจำนวนหน่วยลงทุนที่จัดสรรให้ในแต่ละกลุ่ม