จับประเด็นร้อน! ทุบให้เปลี้ย 4รองอธิบดีฯสอบสวนคดีพิเศษ ถูกเขี่ยพ้นกรม?
การย้ายสลับตำแหน่ง รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ตกเป็นกระแสที่ถูกจับตามาตลอดสัปดาห์ แม้ว่า ”วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ” ปลัดกระทรวงยุติธรรม ผู้ลงนามในคำสั่งจะชี้แจงว่าไม่ใช่การสลายขั้วตำรวจในดีเอสไอ แต่สหวิชาชีพและสหวิชาการเป็นวัตถุประสงค์ดั้งเดิมในการก่อตั้งดีเอสไอ แต่คำสั่งย้ายที่มีอย่างต่อเนื่องและดำเนินการควบคู่กับการสำรวจความจำนงของอดีตตำรวจในดีเอสไอกว่า 100 ชีวิต ที่จะโอนย้ายกลับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำให้ลำบากที่จะถูกมองเป็นอย่างอื่นนอกจากสลายขั้ว
คำสั่งย้ายบุคลากรที่เป็นกำลังหลักของดีเอสไอเพื่อไปเสริมศักยภาพให้หน่วยอื่น แต่ก็ทำให้ดีเอสไออ่อนเปลี้ย สำหรับ “พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล” เข้าใจว่าสามารถไปทำงานในด้านวิเคราะห์แผนปราบปรามเครือข่ายนักค้ายาเสพติด ส่วน ”พ.ต.ท.ประวุธ วงศ์สีนิล” อาจเข้าไปจับงานปราบปรามอาชญากรรมในเรือนจำ ซึ่งเป็นศูนย์รวมของนักค้ายาเสพติดรายสำคัญ
แต่เมื่อมองย้อนไปที่ดีเอสไอ ต้องถือว่าหนัก เพราะ ”นพ.ไตรฤทธิ์ เหมวงศ์” เป็นหมอเฉพาะทางด้านนิติเวช แม้หลักฐานทางนิติเวชจะช่วยไขคดีอาญา แต่หมอไม่เคยมีประสบการณ์งานสอบสวน เช่นเดียวกับ “มณฑล แก้วเก่า” รองอธิบดีคุมประพฤติ ซึ่งได้รับความไว้วางใจจากระทรวงยุติธรรมโอนย้ายมาคุมงานบริหารในดีเอสไอ โดยที่ภารกิจเชิงรุกข้างหน้ายังมองทางแทบไม่ออก
คนที่เหนื่อยหนักหนีไม่พ้น “พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง” อธิบดีดีเอสไอ เพราะแว่วว่า ยังมีรองอธิบดีดีเอสไออีก 1 คน ต้องถูกเกลี่ยพื้นที่ โดยสูตรที่ออกเป็นการขยับขึ้นผู้ตรวจราชการหรือผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งต้องตามลุ้นว่า หวยจะออกที่ “พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล” ซึ่งครองตำแหน่งรองอธิบดีนาน 4 ปี หรือ ”พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร” หัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีฟอกเงินกรุงไทย และคดีรถยนต์หรูเลี่ยงภาษี
ปฏิเสธไม่ได้ว่าองค์กรสหวิชาชีพเป็นวัตถุประสงค์ในการก่อตั้งดีเอสไอ แต่ความเชี่ยวชาญที่มีต่องานเฉพาะด้านก็สำคัญไม่ด้อยไปกว่า ก่อนหน้าที่จะมีการโยกย้ายสลับเก้าอี้ ดีเอสไอได้ถูกลดบทบาทด้วยการตัดทิ้งคดีพิเศษที่เคยเป็นกฎหมายแนบท้าย คืนให้สตช.ไปเกือบ 20 ฉบับ
อย่าคิดอะไรมาก ระยะ 2 ปีท้ายของกระทรวงตาชั่ง วัดผลสัมฤทธิ์ด้วยยอดอีเวนท์ เทน้ำหนักไปที่การสัมมนา พาเหรดสัญจรแต่ละนัดใช้งบฯไม่ต่ำหลักล้าน..