"วิษณุ" ชี้ "ไทย" ต้องทะยานเรื่องความโปร่งใสให้มากกว่านี้ ระบุมีข่าวทุจริตอื้อ แสดงว่าลงมือกันจริงจัง ชี้ขายหน้าก็ต้องยอม ดีกว่าซุกใต้พรม ด้าน "ปธ.ป.ป.ช." ตั้งเป้า CPI ได้ 50 คะแนนในปี 64 ลั่น ถ้าไม่เป็นตามเป้าอาจต้องรับผิดชอบ
เมื่อวันที่ 23 ส.ค.61 เวลา 09.00 น. ที่โรงแรมเซ็นทรา บายเซ็นทาราศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) จัดโครงการสัมมนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระดับชาติ หัวข้อ "การผลักดันยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต สู่ประเทศไทยใสสะอาด ไทยทั้งชาติต้านทุจริต" โดยมีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดสัมมนาพร้อมปาฐกถาพิเศษเรื่อง "การผสานพลังสร้างประเทศไทยใสสะอาด" ตอนหนึ่งว่า การทุจริตเป็นภัยร้ายแรงของชาติ กระทบต่อความมั่นคงทุกด้าน ทุกประเทศทั่วโลกได้หาแนวทางและมาตรการเพื่อป้องกันการทุจริต จึงมีความร่วมมือในระดับชาติเพื่อป้องกันและปราบปรามการทุจริต เช่นเดียวกับการมีดัชนีความโปร่งใส จากองค์กรประเมินความโปร่งใสนานาชาติ เพื่อเป็นตัวชี้วัดทำให้นักลงทุนตัดสินใจได้ง่ายขึ้น โดยขณะนี้ประเทศไทยมีค่าคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต หรือ คะแนน CPI อยู่ที่ 37 คะแนน เราจำเป็นต้องทะยานขึ้นไปให้ได้คะแนนมากกว่านี้ โดยรัฐบาลและผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายตั้งเป้าว่าปี 2564 ค่า CPI ของไทยควรจะอยู่ที่ 50 คะแนน สูงกว่านั้นยิ่งดี การจะให้คะแนนสูงขึ้นต้องใช้ความร่วมมือทุกฝ่าย ปราบปรามเชิงรุก และให้คนทั้งชาติมีความรู้สึกต้านทุจริต ตลอดเวลาที่ผ่านมามีตัวเลขทางสถิติบ่งบอกว่าเรามีการพัฒนาในทางที่ดีขึ้น ไม่ได้ย่ำแย่ตกต่ำ แม้จะมีข่าวการทุจริตจำนวนมากแม้จะมองว่าปัญหาการทุจริตรุนแรงขึ้น แต่มองอีกทางหนึ่งก็คือมีการลงมืออย่างจริงจัง ถึงจะเจ็บ จะอับอายขายหน้าก็ต้องยอม ดีกว่าให้สิ่งเหล่านี้ซุกอยู่ใต้พรม ทั้งนี้ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ขณะนี้อยู่ในระยะที่ 3 โดยให้ความสำคัญกับวิสัยทัศน์ประเทศไทยใสสะอาด ไทยทั้งชาติต้านทุจริต รัฐบาลขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาชน กลุ่มนักวิชาการ กลุ่มประชาสังคม ให้ร่วมมือกันในการที่จะสร้างประเทศไทยให้เกิดความใสสะอาด โปร่งใส มีการทุจริตคอร์รัปชั่นน้อยที่สุดหรือไม่มีเลย
นายวิษณุ กล่าวอีกว่า การทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นภัยที่เกิดจากปัจจัยภายในของเราเอง เหมือนสนิมเหล็ก ถ้าประเทศชาติคือเหล็ก สนิมอันดับแรกอาจจะเป็นการแตกแยกความสามัคคี และสนิมอันดับสองก็คือการทุจริต ในที่สุดเหล็กก็จะกร่อนไปประเทศก็จะพังทลาย จึงมีความจำเป็นที่จะกำจัดสนิม ซึ่งทั่วโลกเห็นถึงปัญหาการทุจริตทั้งหมด ไม่ใช่แค่ประเทศไทย วันนี้การทุจิรตจึงถือเป็นวาระแห่งโลก และกลายมาเป็นยุทธศาสตร์ชาติชาติ 20 ปีของเรา ซึ่งเป็นสิ่งบังคับตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้น อย่าเพิ่งเยาะเย้ยถากถางว่ารัฐบาลจะอยู่ 20 ปี หรือ รัฐบาลไม่ได้ทำ แต่กำหนดให้หน่วยงานรัฐทำ ซึ่งเป็นระยะเวลาที่เด็กจะเติบโตเป็นวัยผู้ใหญ่ บรรลุนิติภาวะ เรากำหนดไว้ 20 ปี เพื่อให้เห็นเป้าหมายไกลหน่อย หากกำหนด 5 ปีก็สั้น หรือกำหนด 50 ปีก็ไกลเกินไป และในช่วง 20 ปี ใครมาเป็นรัฐบาลก็ตามหากไม่พอใจยุทธศาสตร์ชาติก็แก้ได้ ไม่ได้เขียนสาปแช่งว่าห้ามแก้ วันนี้ยุทธศาตร์ชาติเขียนเสร็จแล้ว หนาประมาณ 100 หน้า ซึ่งได้นำขึ้นทูลเกล้าแล้ว ทั้งนี้ การไม่ปฏิบัติตามยุทธศาตร์ชาติ ไม่ทำตามแผนจะถือว่ามีความผิด โดยจะเริ่มด้วยการตักเตือนในหน่วยงาน และรายงานครม. ให้ครม.เตือน หากครม.ไม่เตือนจนส่งผลกระทบ ก็จะมีกระบวนการทางศาลมาเกี่ยวข้อง แต่หากเตือนแล้วมีการแก้ไขก็ได้ ส่วนพวกที่ไม่ทำตามแล้วยังลงไปทุจริตเองก็จะต้องลงโทษสถานเดียว
นายวิษณุ กล่าวว่า การจะปลูกจิตสำนึกให้คนไม่ทนต่อการทุจริตได้นั้นเป็นเรื่องยาก โดยจะต้องอดทน และเราควรมีความเพียรที่มีกลยุทธ์ มีวิธีการที่ชาญฉลาด เหมือนพระมหาชนก เหมือนการช่วยเหลือหมูป่า 13 ชีวิต แต่หากเราท้อแท้ ถดถอย ก็ไม่มีโอกาสสำเร็จ แต่หากเราอดทนงานก็จะสำฤทธิ์ผล เรื่องนี้เป็นความเดือดร้อนของคนทั้งชาติ ดังนั้น จึงอยากให้กำลังใจซึ่งกันและกัน
ขณะที่ พล.ต.อ.วัชรพล ประสานราชกิจ ประธาน ป.ป.ช.บรรยายพิเศษ เรื่อง "การผลักดันยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต สู่ประเทศไทยใสสะอาด ไทยทั้งชาติต้านทุจริต" ตอนหนึ่งว่า เราตั้งเป้าว่าประเทศไทยต้องเพิ่มคะแนน CPI ให้ได้มากกว่า ร้อยละ 50 ภายในปี 2564 โดยผลักดันด้วย 6 ยุทธศาสตร์ คือ สร้างสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต , ยกระดับเจตจำนงทางการเมืองในการต่อต้านทุจริต , สกัดกั้นการทุจริตเชิงนโยบาย , พัฒนาระบบป้องกันการทุจริตเชิงรุก , ปฏิรูปกลไกและกระบวนการการปราบกรามการทุจริต, ยกระดับคะแนนค่า CPI ของประเทศไทย ทั้งนี้ ป.ป.ช.จะต้องผสานพลังกับทุกหน่วยงานทุกภาคส่วน เพื่อผลักดันให้ยุทธศาสตร์ฯบรรลุเป้าหมายคือสร้างสังคมใสสะอาดยิ่งขึ้น แต่หากในปี 2564 คะแนน CPI ไม่เป็นไปตามเป้า ตนอาจจะต้องรับผิดชอบ วันนี้ตนคิดว่าประชาชนคนไทยเริ่มตื่นรู้เรื่องการทุจริตมากขึ้น และจะมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว เชื่อว่าจะเป็นระรอกคลื่นที่มีพลังมากยิ่งขึ้น โดยจะมีการตั้งชมรม STRONG ในทุกจังหวัด จังหวัดละ 100 คน เพื่อทำกิจกรรมรณรงค์ต้านการทุจริตในพื้นที่ ขณะที่การปลูกฝังเด็กเยาวชนมีการทำหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาแล้ว โดยจะเริ่มมีการเรียนการสอนในปีการศึกษา 2561 ซึ่งจะเป็นการปลูกฝังพื้นฐานการป้องกันทุจริตในเด็ก โดยเฉพาะการแยกแยะผลประโยชน์ส่วนตัวกับผลประโยชน์ส่วนรวม
"ป.ป.ช.ยืนยันว่าการทำคดีทุจริตจะเร็วขึ้น เพราะตามกฎหมายใหม่มีการกำหนดกรอบในการทำคดี ไม่เกิน 2 ปี หากเราลดการทุจริตในท้องถิ่นได้มาก ก็จะมีเวลามาติดตามการทุจริตเชิงนโยบายมากขึ้น ส่วนการยื่นบัญชีทรัพย์สินของเจ้าหน้าที่รัฐตามกฎหมายใหม่นั้น เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.จะเป็นหน่วยงานแรกที่ยื่นผ่านอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงคู่สมรสที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสก็จะต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินด้วย" ประธานป.ป.ช. กล่าว