ทายาทรุ่น3 “เค.อี.กรุ๊ป” ปฐมบทพ่อมดน้อย

ทายาทรุ่น3  “เค.อี.กรุ๊ป” ปฐมบทพ่อมดน้อย

จากรุ่นบุกเบิกซื้อที่ดินทำเล“ทุ่งหมาเมิน”รุ่น2ปลุกปั้นเป็นบ้านหรู-ย่านชอปปิงพรีเมียมของมหาเศรษฐี อาณาจักรธุรกิจ “เค.อี.กรุ๊ป”รุ่น3พรั่งพร้อมที่ดินสะสมกว่า 300 ไร่ ขอผันจากดีเวลลอปเปอร์สู่ “พ่อมดน้อยการเงิน” กับความฝันพาอสังหาฯก้าวสู่เวทีโลก

ผืนดินห่างไกลจากใจกลางเมือง เลียบทางด่วนรามอินทรา ถูกเนรมิตให้กลายเป็นทำเลทองผุดบ้านหรู ระดับพรีเมียมของเศรษฐีเมืองไทย ด้วยวิสัยทัศน์ของ เกียรติ เอี่ยมสกุลรัตน์ อดีตผู้ถือหุ้นและผู้บริหารระดับสูงของกลุ่มธุรกิจ“สุราทิพย์” หลังซุ่มซื้อที่ดินโซนตะวันออกกรุงเทพฯมาตั้งแต่ปี 2529เรื่อยมา ในยุคที่ผืนดินแห่งนี้ยังเป็น“ทุ่งหมาเมิน”ที่ไม่มีใครสน กลับกลายเป็นรากฐานแข็งแกร่ง ในการสร้างอาณาจักรธุรกิจเค.อี.กรุ๊ป ทุกวันนี้ 

ย่างเข้าสู่ยุคต่อจากเกียรติ ลูกชายคนที่ 2 ของเขา กวีพันธ์ เอี่ยมสกุลรัตน์” ประธานกรรมการผู้จัดการ เข้ามาจัดตั้ง บริษัท เค.อี.กรุ๊ป ในปี 2544 โดยใช้ความรู้ที่ร่ำเรียนจากในและต่างประเทศ รวมถึงประสบการณ์จากการทำงานด้านวาณิชธนกิจ บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ภัทรธนกิจ จำกัด (มหาชน) ในขณะนั้น ทำให้เขากล้าเนรมิตรแลนด์แบงก์สะสมของพ่อย่านถนนประดิษฐ์มนูธรรม ผุดโครงการแรกคือ คริสตัล พาร์ค (Crystal Park) มูลค่าลงทุนกว่า 3,000 ล้านบาท พร้อมคอมมูนิตี้ มอลล์ จับเซ็คเมนท์ระดับบนแห่งแรกในย่านนี้

ตามมาติดๆ ด้วยโครงการคริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์ (CDC) รวมไปถึงโครงการบ้านหรูที่มีไลฟ์สไตล์เฉพาะตัวตอบโจทย์รสนิยมของมหาเศรษฐี

โดยเป็นการบริหารของทายาทรุ่นที่ 2 กับภรรยาคู่ใจ ศุภานวิต เอี่ยมสกุลรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เค.อี.กรุ๊ป

“คุณพ่อ (เกียรติ เอี่ยมสกุลรัตน์) สะสมแลนด์แบงก์ตั้งแต่เป็นผู้บริหารในกลุ่มสุราทิพย์ ทำให้เรามีพื้นที่พัฒนาโครงการในจังหวะที่เหมาะสม เราเป็นผู้บุกเบิกย่านนี้ พัฒนาโครงการแบบคิดต่าง เน้นคุณภาพเพื่อจับตลาดบน” ศุภานวิต เล่า

ผลของการมีแลนด์แบงก์สะสมในยุคนั้น เป็นที่มาในการปลุกปั้นศูนย์การค้าและบ้านหรู ในช่วงที่ตลาดต้องการ โดยไม่ต้องแข่งขันกับใคร

การพัฒนารีเทล(ค้าปลีก)และบ้าน เพราะเราเข้าใจตลาด และเป็นผู้นำ(Leader)ในย่านนี้ เน้นสิ่งใหม่ คิดทำในสิ่งที่คนอื่นไม่ทำ จึงสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับที่ดินให้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ

กลายเป็นที่มาของการพัฒนาที่ดินบนถนนประดิษฐ์มนูธรรรม เลียบด่วนรามอินทรา ให้กลายเป็น ทำเลทอง ของห้างพรีเมียม และบ้านหรูใน โดยมีอาณาจักรของเค.อี. กรุ๊ป

ปัจจุบัน เค.อี.กรุ๊ป จึงเป็นหนึ่งในผู้นำด้านกลุ่มธุรกิจอสังหาฯใน 4 กลุ่มธุรกิจ ประกอบด้วย 1.เค.อี.แลนด์ จำกัด กลุ่มพัฒนาที่ดิน ที่เน้นพัฒนาโครงการบ้านหรู ,2. เค.อี.รีเทล กลุ่มธุรกิจค้าปลีก คอมมูนิตี้ มอลล์ ทั้งหมด 4 แห่ง, 3.กลุ่มธุรกิจ ลักซ์เซอรี แอท ลีฟวิ่ง ธุรกิจขายสินค้าวัสดุก่อสร้างนำเข้าเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน และ4.กลุ่มธุรกิจ ฮอสพิทัลลิตี้ บริการจัดเลี้ยง ประชุมสัมมนา อาหารและเครื่องดื่ม

อาณาจักรของเค.อี.กรุ๊ป ยังไม่จบแค่การพัฒนาย่านการค้า คอมมูนิตี้ มอลล์ บนถนนประดิษฐ์มนูธรรม 4 แห่ง  ล่าสุดในส่วนของการพัฒนาบ้าสหรู ยังเปิดตัวโครงการ “คริสตัล โซลานา ราคาตั้งแต่หลัง 60-300 ล้านบาท มูลค่าโครงการกว่า 4,000 ล้านบาท ตั้งเป้าเริ่มเปิดขายกลางปี 2561 คาดว่าจะขายโครงการเสร็จภายใน 1 ปี ทำให้มีแหล่งรายได้จากการพัฒนาด้านอสังหาฯค่อยๆ เพิ่มขึ้น อาจจะมากกว่าหรือน้อยกว่าค้าปลีก ขึ้นอยู่กับความต้องการตลาดในแต่ละช่วง

“เรากล้าพูดได้ว่าเป็นผู้นำตลาดบ้านหรู เพราะในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา(ปี 2559-2561) ภาพรวมตลาดบ้านหรูมีโครงการเปิดตัวใหม่ 20 โครงการมูลค่ารวม 25,000 ล้านบาทหรือ ปีละ 8,000 ล้านบาท โดยส่วนแบ่งการตลาดที่เค.อี.กรุ๊ป เปิดโครงการปีละ 4,000 ล้านบาท จึงถือว่าเป็นผู้นำทั้งส่วนแบ่งในตลาดสูงสุด”

และจากนี้ในอีก 2-3ปีข้างหน้า ตั้งเป้าหมายจะเปิดตัวบ้านหรู มูลค่าปีละ 5,000 ล้านบาท เธอเล่า 

สิ่งสำคัญการเปิดโครงการบ้านหรู ยังเป็นการถ่วงดุลรายได้ให้มาจากหลากหลายทางไม่ทิ้งน้ำหนักพึ่งพิงแหล่งรายได้เดียวจนเกินไปในยุคที่ค้าปลีก ห้างสรรพสินค้า มีคู่แข่งจากออนไลน์เข้ามา 

----------------------------------------

โมเดลธุรกิจลงทุนอสังหาฯนอกประเทศ 

“เค.อี กรุ๊ป” ยังมีความเคลื่อนไหวสำคัญ เมื่อทายาทคนโต "กวินทร์ เอี่ยมสกุลรัตน์ (วิน) รองกรรมการผู้จัดการ เค.อี.กรุ๊ป อายุ24 ปี เข้ามาต่อยอดกิจการในฐานะเจเนเรชั่นที่ 3 หลังเรียนจบปริญญาตรี คณะเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และปริญญาโท จากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ด้านพัฒนาอสังหาฯจาก Columbia GSAPP เขายังเคยฝึกงานที่ไพร้ซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส (PWC) 

ดีกรีและความสนใจด้านการเงิน และการลงทุนด้านอสังหาฯ กลายเป็น“ปฐมบทใหม่”ของเค.อี.กรุ๊ป กับการวางระบบการลงทุนด้านอสังหาฯให้แข็งแกร่ง สร้างมูลค่าแลนด์แบงก์ของตระกูล ที่ยังรอการพัฒนาถึง 300 ไร่ คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 3.6 หมื่นล้านบาท (ปัจจุบันราคาที่ดินสะสมเฉลี่ยอยู่ที่ 250,000-300,000 บาทต่อตารางวา) ในอนาคตราคาที่ดินมีโอกาสจะขึ้นไปถึง 1 ล้านบาทต่อตรว. ภายหลังมีรถไฟฟ้าสีเทาในอีก 3-5 ปีข้างหน้า “ศุภานวิต” เผย พร้อมคอนเฟร์มถึงลูกชายคนโตว่า เป็นมือฉมังด้านการเงินที่จะมาช่วยพลิกโมเดลธุรกิจใหม่ให้ เค.อี.กรุ๊ป

นั่นจึงเป็นที่มาของการคิดแผนนำ คอมมูตี้ มอลล์ ทั้ง 4 แห่ง เข้ากองทุนอสังหาฯ (Property Fund) หรือทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาฯ (Real Estate Investment Trust-REIT) ตั้งเป้าระดมทุนมูลค่า 15,000 ล้านบาท ภายในไตรมาส 3 ปี 2562 รวมถึงการเชิญชวนคอมมูนิตี้ มอลล์ อื่นมาร่วมระดมทุน บนพื้นที่เป้าหมาย 200,000 ตารางเมตร

นี่คือแนวคิดการระดมทุนพัฒนาโครงการคอมมูนิตี้มอลล์ของเครือ ให้เติบโตในอนาคต โดยไม่ต้องนำกลุ่มธุรกิจในครอบครัว (Family Business) เข้าตลาดหลักทรัพย์ ก็มีแหล่งเงินในการพัฒนาโครงการ ไปพร้อมกันกับการไม่สูญเสียอำนาจความเป็นเจ้าของอาณาจักรธุรกิจ

โดยนโยบายที่ผู้บริหารมอบให้คนรุ่นใหม่ คือการผนวกวิสัยทัศน์คุณปู่(เกียรติ) บวกกับความคิดคนรุ่นใหม่(ทายาทรุ่น3)

“รุ่นลูกก็มีความคิดทำธุรกิจแบบยุคโกลบอล ในการสร้างโอกาสลงทุนหลากหลาย แต่นโยบายรุ่นปู่ และรุ่นพ่อที่มอบไว้คือ ต้องเดินหน้าเก็บแลนด์แบงก์ไปพร้อมกัน หากพัฒนาไปแล้วก็ต้องซื้อมาเก็บใหม่มาทดแทน เพราะยังมีทำเลทองศักยภาพอีกหลายแห่ง” ศุภานวิต เล่าถึงการสานต่อนโยบายที่เป็นจุดแข็งของกลุ่มธุรกิจให้เดินต่อไปได้ในอนาคต 

ขณะที่ความฝันของกวินทร์ เด็กหนุ่มผู้ชอบเล่นกีฬา และนอบน้อม ผู้มองเห็นโลกทางการเงินมามาก ปรมาจารย์ในห้องเรียน ล้วนเป็นมืออาชีพด้านการเงินและอสังหาฯคือแรงขับเคลื่อนทำให้เขามีแพสชั่นอย่างแรงกล้าพาเค.อี.กรุ๊ป ไม่เพียงเป็นยักษ์อสังหาฯคุมโซนตะวันออก กรุงเทพฯ

แต่จะขอพา เค.อี. กรุ๊ป เป็นนักลงทุนบินไปลงทุนในเมืองหรูทั่วโลก อาทิ ลอนดอน นิวยอร์ค และฮ่องกง เมืองหลวงและย่านเศรษฐกิจที่ถูกจัดเป็นพื้นที่แพงระยับอันดับต้นๆ ของโลก เป็นนักลงทุนที่ระดมทุนการเงินอย่าง“พ่อมดการเงิน"ผู้โด่งดัง

“ผมอยากพากลุ่มธุรกิจไทย เค.อี.กรุ๊ป เป็นหัวหอกเข้าไปลงทุนนอกบ้าน ในเมืองเศรษฐกิจระดับโลก” เขาย้ำ ถึงการเดินตามกองทุนระดับโลก

ก่อนจะไปถึงระดับโลก เค.อี.กรุ๊ป “กวินทร์”เล่าว่าจะประเดิมชิมลางก้าวไปลงทุนด้านอสังหาฯในอาเซียนก่อน ภายใน 3 ปีจากนี้

การตั้งกองรีท คอมมูนิตี้ มอลล์ เพื่อระดมทุนในประเทศ จึงเป็นจิ๊กซอว์สำคัญของการก้าวขึ้นมาเป็นนักลงทุน และระดมเงินในประเทศก่อน แล้วจึงขยับเชิญชวนประเทศเพื่อนบ้าน นำคอมมูนิตี้มาเข้ากองทุนในอนาคต ปูพรมก้าวไปบุกอสังหาฯในต่างประเทศ

“วิธีนี้เป็นการระดมทุนของห้างสรรพสินค้าในสหรัฐที่ประสบความสำเร็จ หลังจากธุรกิจค้าปลีก ได้รับผลกระทบจากออนไลน์ แต่เชื่อว่าการนำคอมมูนิตี้ มอลล์ของเราไประดมทุนยังมีศักยภาพ เพราะเรามีมืออาชีพในการบริหารคอมมูนิตี้มอลล์ และมีรายได้หลากหลายทั้ง ปล่อยเช่าพื้นที่ อีเวนท์” เขาเล่า

ความฝันที่เขายังเดินตามรอย กองทุนแบล็คสโตน (Blackstone) กลุ่มธุรกิจลงทุนที่ใหญ่อันดับต้นๆ ของโลก ที่เข้าไปลงทุนในธุรกิจหลากหลายทั่วโลก ทั้งค้าปลีก โรงแรม และอสังหาฯ เป็นต้น โดยมี โจนาธาน เกรย์” เป็นประธานของกลุ่มธุรกิจแบล็คสโตน ทำให้แบล็คสโตนเป็นกองทุนทุนด้านอสังหาฯ ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดแห่งหนึ่ง

อีกบุคคลที่ไอดอลของเขาคือ สตีเฟ่น รอสส์ เจ้าของบริษัทรีเลทเต็ด(Related) ผู้มีวิสัยทัศน์ปลุกปั้น ฮุดสัน ยาร์ดส์ (Hudson Yards) ที่เกาะแมนฮันตัน สหรัฐ ให้เป็นโครงการอสังหาฯที่ใหญ่ที่สุดในโลก 

“ความฝันสูงสุด ซึ่งเป็นแพสชั่นส่วนตัว คืออยากสร้างความมั่งคั่งให้เค.อี.กรุ๊ปให้เหมือนแบล็คสโตน และรีเลทเต็ด ในสหรัฐ ที่พัฒนาและขยายธุรกิจไปทั่วโลก เราจึงต้องพัฒนาด้านการเงินให้แข็งแกร่งโดยเริ่มจากการตั้งกองรีทระดมทุนในคอมมูนิตี้ มอลล์ แห่งแรกในไทย” เขาเล่าถึงแผนการก้าวไปเป็นนักลงทุนระดับโลก ที่ประมาทไม่ได้จริงๆ