หุ้นกลุ่มแบงก์สดใสหนุนดาวโจนส์ปิดบวกกว่า300จุด

หุ้นกลุ่มแบงก์สดใสหนุนดาวโจนส์ปิดบวกกว่า300จุด

หุ้นกลุ่มการเงินพุ่งขึ้นนำตลาดวันนี้ประมาณ2% ขณะที่หุ้นเจพีมอร์แกน เชส ทะยานขึ้นมากที่สุดในการซื้อขายช่วงแรก นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีต่างก็ดีดตัวขึ้นเช่นกัน โดยราคาหุ้นแอ๊ปเปิ้ล อเมซอน และเน็ตฟลิกซ์ ต่างปรับตัวขึ้นราว 0.5%

ดัชนีดาวโจนส์ ปิดตลาดวันจันทร์ (9ก.ค.)ยังคงทะยานต่อเนื่องกว่า300จุด ขณะที่นักลงทุนเมินสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ขณะที่ขานรับตัวเลขการจ้างงานที่แข็งแกร่งของสหรัฐและได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มธนาคารที่ปิดตลาดปรับตัวขึ้น

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวขึ้น 320.11 จุดหรือ 1.31% ปิดที่ 24,776.59 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 บวก 24.35  จุดหรือ 0.88% ปิดที่ 2,784.17 จุดและดัชนีแนสแด็ก ปรับตัวขึ้น 67.81 จุดหรือ  0.88% ปิดที่ 7,756.20 จุด

นักลงทุนขานรับตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐที่แข็งแกร่งเกินคาดในเดือนมิ.ย. และตลาดยังได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะไม่เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังจากตัวเลขค่าจ้างต่อชั่วโมงซึ่งเป็นข้อมูลที่เฟดมองว่าเป็นสัญญาณบ่งชี้ภาวะเงินเฟ้อนั้น ขยายตัวต่ำกว่าคาดในเดือนมิ.ย.

ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้น 213,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 195,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 4.0% โดยสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะทรงตัวที่ระดับ 3.8%

ขณะเดียวกัน ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน ซึ่งเป็นข้อมูลที่เฟดให้ความสำคัญเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเงินเฟ้อ เพิ่มขึ้น 5 เซนต์/ชั่วโมง หรือ 0.2% จากระดับ 0.3% ในเดือนพ.ค. และเพิ่มขึ้น 2.7% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งต่ำกว่าที่คาดไว้ที่ระดับ 2.8% จากระดับ 2.7% ในเดือนพ.ค. โดยการชะลอตัวของค่าจ้างในเดือนมิ.ย.ทำให้ตลาดคาดว่าเฟดจะยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป

นักวิเคราะห์ชี้ว่า การที่นักลงทุนขานรับข้อมูลแรงงานล่าสุดของสหรัฐ ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยสกัดปัจจัยลบเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา สหรัฐได้เรียกเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากจีนจำนวนมากกว่า 800 รายการ คิดเป็นมูลค่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่จีนก็ได้ตอบโต้ด้วยการเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐในวงเงินที่เท่ากัน

ตลาดจับตาการเปิดเผยผลประกอบการในไตรมาส 2 ของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 20%