'จักรทิพย์' บินกรุงปารีส ประสานอินเตอร์โพลหิ้วอดีตพระพรหมเมธีกลับ

'จักรทิพย์' บินกรุงปารีส ประสานอินเตอร์โพลหิ้วอดีตพระพรหมเมธีกลับ

"จักรทิพย์" บินลัดฟ้า "กรุงปารีส" เร่งประสานอินเตอร์โพลหิ้วอดีตพระพรหมเมธีมาดำเนินคดี หลังเยอรมนีปฏิเสธส่งตัวให้ คาดรู้ผล 15 มิ.ย.นี้

เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. ที่ผ่านมา ที่กองบังคับการปราบปราม รายงานข่าวแจ้งว่า ความคืบหน้าการติดตามตัวอดีตพระพรหมเมธี อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร ที่หลบหนีไปยื่นของลี้ภัยอยู่ที่ประเทศเยอรมัน ขณะนี้ทางคณะทำงานพร้อมด้วย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ยังคงอยู่ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศษ เพื่อเจรจาประสานงานในเรื่องส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนกับทางตำรวจสากล (อินเตอร์โพล) สำนักงานใหญ่ เนื่องจากก่อนหน้านี้ทางประเทศเยอรมันได้ปฏิเสธคำขอตัวอดีตพระพรหมเมธีจากตำรวจไทยที่ขอให้ส่งมอบตัวผู้ต้องหา โดยทางการเยอรมนีอ้างถึงความน่าเชื่อถือขอประเทศไทยที่กลุ่มสหภาพยุโรปมองว่าเป็นประเทศที่ยังไม่อยู่ในสภาวะปกติและไม่เป็นประชาธิปไตย ทั้งนี้ก่อนการไปประสานงานกับตำรวจสากลทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยได้มีการประชุมเพื่อหาแนวทางในการนำตัวพระพรมเมธีกลับมาดำเนินคดีให้ได้โดยเร็วที่สุด ซึ่งได้ข้อสรุปว่าจะใช้ความร่วมมือกันระหว่างตำรวจต่อตำรวจผ่านช่องทางตำรวจสากลที่ไทยมีความร่วมมือกับตำรวจสากลหลายๆประเทศทั่วโลก

รายงานข่าวแจ้งว่า หากการประสานงานในครั้งนี้คาดว่าจะทราบผลไม่เกินวันศุกร์นี้ (15 มิ.ย.) และหากผลการเจรจาสำเร็จ คณะทำงานพร้อมด้วยพล.ต.อ.จักรทิพย์ จะเดินทางไปรับตัวอดีตพระพรหมเมธีจากเมืองแฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมัน กลับไปดำเนินคดีที่ประเทศไทยต่อไป อย่างไรก็ตามรายงานข่าวก่อนหน้านี้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ มีกำหนดเดินทางกลับประเทศไทยในวันที่ 16 มิ.ย.ที่จะถึงนี้ โดยเที่ยวบินที่ TG931 ซึ่งออกเดินทางจากกรุงปารีสสู่สนามบินสุวรรณภูมิ โดยล่าสุดยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงเที่ยวบินแต่อย่างใด

รายงานข่าวแจ้งอีกว่า สำหรับการสืบสวนสอบสวนกับบุคคลอื่นในคดีฟอกเงินนั้นทางชุดทำงานในส่วนของกรณีสระเกศวรมหาวิหาร ที่มีหลักฐานชัดเจนว่ามีการทุจริตที่เข้าข่ายการฟอกเงินซึ่งต่างจากการทุจริตเงินทอนวัดที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ โดยวัดสระเกศฯได้รับงบประมาณจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) รวม 2 ครั้ง ครั้งแรกเป็นเงินจำนวน 30 ล้านบาท โดย พศ. จ่ายเป็นเช็คเมื่อ วันที่ 21 ธ.ค. 2558 เนื่องจากเสนอของบทำโครงการเงินอุดหนุนอบรมคุณธรรมจริยธรรมสำหรับเด็กและเยาวชนฯ ครั้งที่สองวัดสระเกศฯได้รับงบประมาณอีกจำนวนเงิน 32.5 ล้านบาท โดย พศ. จ่ายเงินเข้าบัญชีเมื่อวันที่ 7 ม.ค. 2559 เนื่องจากวัดได้เสนอโครงการอุดหนุนศูนย์กลางการเผยแผ่กิจการพระพุทธศาสนา

สำหรับรายละเอียดของโครงการนั้น ในเอกสารได้ระบุว่าทั้ง 2 โครงการ เป็นงบประมาณเพื่อหนุนด้านเผยแผ่ศาสนา โดยจะนำงบประมาณเพื่อนำไปอุดหนุนให้วัดสาขา 13 แห่ง แต่เมื่อตรวจสอบรายละเอียดกลับพบว่ามีวัดจำนวน 9 วัด ที่ไม่ได้รับงบประมาณอุดหนุนเลยตามที่ระบุไว้ ประกอบด้วย วัดไตรธรรมาราม จ.สุราษฎ์ธานี, วัดบุดดา จ.สิงห์บุรี, วัดมหาพุทธาราม จ.ศรีสะเกษ, วัดพระธาตุพนม จ.นครพนม, วัดอัมพวัน จ.ยโสธร , วัดบ่อชะเนง จ.อำนาจเจริญ, วัดพระพุทธบาทเขากระโดง จ.บุรีรัมย์, วัดศรีมงคลใต้ จ.มุกดาหาร และวัดแห่งหนึ่งในจังหวัดสงขลา ส่วนวัดที่เหลืออีก 4 คือ วัดหลวงพ่อสด จ.ราชบุรี, วัดพระธาตุดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่, วัดปากน้ำ จ.อุบลราชธานี และ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น ได้รับงบประมาณไปแห่งละ 2 ล้านบาท รวม 8 ล้านบาท ส่วนงบประมาณที่เหลืออีกกว่า 50 ล้านบาทพบว่าอดีตพระพรหมสิทธิ อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ ได้ยักย้ายถ่ายเทไปยังบัญชีของ นางสาวนุชรา สิทธินอก อายุ 32 ปี คนในบ้านของ นางฑัมม์พร นิพนธ์พิทยา อายุ 50 ปี อดีตเจ้าของ ห้างหุ้นส่วนจำกัดดีดีทวีคูณ ซึ่งเป็นสีกาคนสนิทของอดีตพระพรหมสิทธิ เพื่อให้ผลิตสื่อโฆษณาให้กับวัด

รายงานข่าวแจ้งว่า จากการสอบปากคำอดีตพระพรหมสิทธิได้ให้การว่าที่โอนไปยังบัญชีของ นางสาวนุชรา นั้นก็เพราะ นางฑัมพร แนะนำว่าเป็นวิธีหนึ่งในการเลี่ยงภาษี แต่เมื่อชุดสืบสวนร่วมกับ ป.ป.ง.ตรวจสอบแล้วกลับพบว่าไม่เป็นเช่นนั้นเพราะเงินจำนวนดังกล่าวถูกนำไปใช้อย่างผิดวัตถุประสงค์และมีการนำไปใช้ในกิจการส่วนตัวจำนวนมาก ทั้งที่เงินจำนวนนี้ควรจะถูกจัดส่งไปยังวัดจำนวน 9 วัดเพื่อให้พระเณรในต่างจังหวัดที่ด้อยโอกาสได้เรียนหนังสือตามที่วัดเขียนโครงการมาซึ่งระบุว่าจะส่งเงินไปยังโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา เป็นเงินค่าใช้จ่ายทั้งหมดประมาณ 26,000 บาทต่อรูป รวมทั้งสองโครงการเป็นเงิน 62.5 ล้านบาท

รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า รูปแบบของการทุจริตเงินวัดของ วัดสระเกศ วัดสัมพันธวงศ์ฯ และวัดสามพระยาวรวิหาร ครั้งนี้นั้นแตกต่างจากการดำเนินคดีเงินทอนวัดในครั้งที่ผ่านๆมา เนื่องรูปแบบเดิมที่พบในวัดต่างจังหวัด สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จะเป็นฝ่ายเสนองบประมาณให้วัดไปทำโครงการต่างๆแต่เงินกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ถูกโอนคืนกลับไปให้ข้าราชการในสำนักพุทธฯ บางวัดพระจึงกลายเป็นเหยื่อของการกระทำความผิด ตำรวจจึงไม่ได้ดำเนินคดีกับพระแต่ได้กันไว้เป็นพยานเพราะถือว่าไม่มีเจตนา แต่กรณีของวัดที่ถูกเนินคดีทั้ง 3 วัดนั้น พระไม่ได้โอนเงินกลับไปยังเจ้าหน้าที่สำนักพุทธฯ แต่เงินที่ได้รับมาเพื่อทำโครงการต่างๆกลับถูกโอนเข้าบัญชีฆราวาส บัญชีตัวเอง แทนในรูปแบบของการฟอกเงิน ซึ่งตัวพระเป็นผู้ที่กระทำทุจริตด้วยตัวเองจึงต้องถูกดำเนินคดีฐานร่วมกันฟอกเงินเพราะพระไม่ได้เป็นเหยื่อ