มุมมองใหม่ของ คุณใหม่
คุณใหม่-สิริกิติยา เจนเซน ธิดาในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ร่วมกิจกรรมอวดภาพถ่ายชุดการเดินทางเยือนรัฐฉาน สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ในนิทรรศการเฉลิมฟิล์มกระจก ฉลองมรดกความทรงจำแห่งโลก
ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลปเจ้าฟ้า กรุงเทพมหานคร จัดแสดงให้ชมตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่ 28 กรกฎาคมศกนี้ ในโอกาสนี้ กรุงเทพวันอาทิตย์ ได้รับเกียรติจาก คุณใหม่-สิริกิติยา เจนเซน ให้สัมภาษณ์ถึงความสนใจในการถ่ายภาพพร้อมด้วยที่มาของภาพถ่ายชุดการเดินทางที่เต็มไปด้วยเรื่องราวอันน่าประทับใจ
"ใหม่สนใจถ่ายภาพมาตั้งแต่เด็ก ก็ถ่ายไปเรื่อยๆ อยากจะไปเรียนด้านการถ่ายภาพมานาน แต่ไม่มีโอกาสเท่าไร ตอนเรียนอยู่ที่นิวยอร์ก มีศูนย์เรียนรู้เกี่ยวกับการถ่ายภาพ มีเพื่อนที่เป็นช่างภาพหลายคน เขาก็สอน ให้อุปกรณ์มาลองใช้ แต่ไม่เก่งเรื่องนี้เท่าไร ถ้าไปไหนมีโอกาสเดินทางไปไกล ไปเที่ยวอเมริกา เอธิโอเปีย อเมริกาใต้ เลยมีโอกาสถ่ายภาพที่คนอื่นไม่มีโอกาสที่จะเข้าไปถึง เพื่อให้คนที่อยู่ห่างไกลได้พบเห็น เป็นสิ่งที่เป็นเป้าหมายในการถ่ายภาพของเรา ชอบถ่ายภาพวิถีชีวิตของคน ไม่เชิงบุคคล ชอบถ่ายภาพที่ไม่ตั้งใจ อย่างภาพที่นำมาจัดแสดงเป็นครั้งแรกทั้งหมด 4 ภาพ...
ตอนนั้นเราไม่ได้กลับมาเมืองไทยมา 5 ปี และเพิ่งฝึกงานเสร็จ รู้สึกว่าอยากใช้โอกาสในการเดินทาง่ไปรัฐฉาน เมื่อก่อนรัฐฉานมีความผูกพันกับคนไทยเยอะ คนที่นั่นเวลานี้ยังพูดภาษาไทยได้คล่อง ถ้าเขารู้ว่าเราเป็นคนไทย เขาจะดีใจ เพราะถือว่าเราก็เป็นคนไทยเหมือนกัน...
จากนั้นเราเดินทางจากมัณฑะเลย์ ประมาณสัก 5-6 ชั่วโมง วิถีชีวิตคนที่นั่น ขนาดว่า 2 ปีที่แล้วก็ยังคงเดิมอยู่ ถ้าในเมืองไทย กรุงเทพฯ หรือเชียงใหม่ ก็คงไม่มีภาพวิถีชีวิตที่จะเรียบง่ายอย่างนี้ ก็คงไม่ใช่ แค่เดินทุกวันก็รู้สึกสงบ เลยถ่ายภาพในตลาด"
‘คุณใหม่’ พาเดินชมภาพถ่ายทีละภาพ โดยเริ่มจากภาพร้านขายของชำ มองเห็นแสงแดดทอดผ่านไปยังสินค้า ไม่ว่าจะเป็นของแห้ง เครื่องปรุง จัดวางบนชั้นวาง บางส่วนห้อยระย้าอยู่ตามมุมต่างๆ เพื่อง่ายต่อการจับจ่ายของลูกค้า
“ภาพที่ถ่ายมานี้ เป็นภาพถ่ายที่ตลาดในเมืองสีป่อ (Hsipaw) จริงๆ เป็นเมืองเล็กมาก ถนนแค่นี้ก็เดินไป 5-6 นาทีก็ทั่วแล้ว เราไปกับเพื่อนกลุ่มไม่กี่คน ใช้โอกาสนั่งเรือไป เดินในชุมชน ประมาณสัก 5 ชั่วโมง วิถีชีวิตคนที่นี่ส่วนใหญ่ทำนา แล้วเราแวะที่ร้านขายของชำ มองแล้วก็เห็นว่าคนที่นี่กินอะไร ชีวิตประจำวันเขาเป็นแบบไหน จากของที่จัดวางอยู่ในร้านนั้น”
ภาพลำดับต่อมาเป็นภาพบรรยากาศในร้านค้าแห่งเดิม เพิ่มเติมรายละเอียดแบบเน้นเฉพาะส่วนโดยเฉพาะแสงเงาตกกระทบให้เห็นรูปทรงของหมวกปีกกว้าง เสมือนบันทึกบุคคลผู้ร่วมเดินทาง
“ตอนที่ถ่ายภาพนี้ ยังเป็นร้านขายของชำ เป็นจังหวะที่เราหันไปเห็นพอดีว่า มีเงาหมวกของเพื่อนชาวพม่าที่ไปด้วยกัน อยู่ตรงนั้นพอดี ก็รีบถ่ายเลย ซึ่งการถ่ายภาพ บางทีเป็นเรื่องของความรู้สึก เราไม่ตั้งใจหรอกว่าจะเจออะไร แค่วันนั้นเรารู้สึกยังไง บางทีอธิบายยาก เพียงแต่ว่าเราเจออะไรก็ถ่ายภาพนั้น เลยเป็นภาพนี้ออกมา”
สีสันของความเป็นพม่า ยังไม่หยุดความงดงามไว้เพียงแค่นั้น วิถียามเช้าของคนที่นี่ ยังมีเรื่องเล่าให้ผ่านภาพถ่ายอีกมากมาย
“ชีวิตของเมืองนี้ โอ้โห--- เงียบสงบ ง่ายเลย ดังนั้นการถ่ายภาพเลยออกมาแบบจับโมเมนต์(moment) ไม่จำเป็นต้องเพอร์เฟค ไม่จำเป็นต้องใช้กล้องแพงเป็นพันเหรียญ แต่อยู่ที่สายตาของคนถ่ายภาพ ก็สามารถบันทึกภาพในช่วงเวลานั้น ในสถานที่เดียวกันคือมุมหนึ่งของตลาด เราเห็นแสงช่วงเช้า แม่ชีออกมาจ่ายตลาด ด้วยชุดเครื่องแต่งกาย แสงและสีต่างๆ โดยรอบที่อยู่บริเวณนั้น ถูกใจเรา จริงๆ มีอีกรูปหนึ่ง ไม่มีโอกาสที่จะเอามาโชว์ เป็นแม่ชีคนเดียวในภาพ อาจจะเป็นที่สี เป็นที่รอยยิ้มของเขา หวานมาก จริงๆ ถ่ายไว้เยอะเลย แต่เลือกภาพนี้มาโชว์”
ในตอนบ่าย คุณใหม่เดินทางต่อไปยังวัดแห่งหนึ่งในพม่า เป็นเวลาเดียวกับเณรน้อยกำลังสนุกสนานอยู่กับการวิ่งเล่นบนลานกว้าง ช่วงเสี้ยววินาทีแห่งความสนุกสนานนั้น จึงเก็บบันทึกเป็นภาพถ่ายที่ห่อหุ้มด้วยความพึงพอใจ ควบคู่ไปกับการบันทึกเหตุการณ์และศึกษายุคสมัยในคราวเดียวกัน
"บังเอิญเราเดินไปเจอเณรเล่นกันสิบกว่าคน เขาเล่นสนุกกัน เราก็พยายามที่จะรอเวลา เพราะการถ่ายภาพเป็นเรื่องของโมเมนต์ เพียงแค่เรารู้จักรอมัน ไม่จำเป็นว่าต้องเพอร์เฟค บางคนคิดว่าการถ่ายภาพเราต้องถ่ายทุกอย่าง ฟิกซ์ทุกอย่างหมดเลย แต่จริงๆ ภาพที่จะสวยที่สุด คือภาพที่ไม่ได้เกิดจากการวางแผนเอาไว้ ซึ่งในภาพนี้ เขากำลังเล่นอยู่ จังหวะที่เขากำลังลุกขึ้นยืนแล้วก็หันมามองเราพอดี ทำหน้าแบบนี้ เพราะเขาคงประหลาดใจ ไม่มีโอกาสจะเจอคนที่หน้าตาแบบเราเท่าไร แววตาเลยเป็นแบบนั้น...
ดังนั้นการถ่ายภาพเป็นการเล่าเรื่องแบบง่ายๆ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์แบบไหน ที่ในยุคนี้เรามีกล้องหลากหลายประเภท ทั้งฟิล์ม ดิจิทัล กล้องจากโทรศัพท์มือถือ ที่ใช้สะดวกรวดเร็วและง่าย...
ส่วนการเรียนรู้เรื่องการถ่ายภาพแบบดั้งเดิมก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ แม้การถ่ายภาพด้วยฟิล์มกระจก เป็นของที่มีราคาสูง ถ้าไปไหนก็ต้องถือไปลำบาก ต้องเป็นคนที่รักตรงนั้นจริงๆ ถึงจะทำได้ แต่ถ้าเราเรียนรู้เป็นงานแบบเวิร์คชอป เพื่อศึกษาเกี่ยวกับการถ่ายภาพในยุคนั้น ก็เป็นโอกาสที่ดีที่จะสร้างแรงจูงใจ ดึงคนกลับมาเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องการถ่ายภาพ เก็บข้อมูล หรือเก็บข้อมูล เพื่อแสดงตัวตนของผู้ถ่ายภาพ หรือสนใจเรื่องประวัติศาสตร์...
ซึ่งในบรรดาภาพฟิล์มกระจกที่นำมาจัดแสดงในงาน ‘นิทรรศการเฉลิมฟิล์มกระจก ฉลองมรดกความทรงจำแห่งโลก’ เราชอบรูปพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายใน ทรงถือกล้องถ่ายภาพ สะท้อนความล้ำสมัยของคนในยุคนั้นที่การถ่ายภาพเริ่มเข้ามาในเมืองไทย...
ในแง่ของความเป็นผู้หญิง เรายังสัมผัสได้ถึงความเป็นผู้ทรงใฝ่ศึกษาวิทยาการใหม่ๆ แตกต่างไปจากสตรีทั่วไปที่ไม่ค่อยกล้าแสดงตัวตนออกมา นานๆ เราจะเห็นภาพแบบนี้สักภาพ ดูแล้วมีพลัง"
การเดินทางทุกครั้งคุ้มค่าเสมอ ภาพถ่ายทุกภาพก็เช่นกัน แต่ละภาพล้วนมีเรื่องราวเป็นของตัวเอง