ชี้กม.สินทรัพย์ดิจิทัล เล็งปกป้องผู้บริโภครายย่อย เติบโตอย่างมั่นคง

ชี้กม.สินทรัพย์ดิจิทัล เล็งปกป้องผู้บริโภครายย่อย เติบโตอย่างมั่นคง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้กฎหมายสินทรัพย์ดิจิทัล เล็งปกป้องผู้บริโภครายย่อย ส่งเสริมการเติบโตอย่างมั่นคง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองประเด็นสำคัญ พ.ร.ก.ด้านสินทรัพย์ดิจิทัลที่ออกมา ทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศแรกที่มีกฎหมายดูแลการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลในลักษณะเฉพาะเจาะจง, กฎหมายที่ออกมาเน้นไปที่มาตรฐานการประกอบธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ ป้องกันพฤติกรรมการเข่าข่ายการเอาเปรียบหรือการโกง โดยผ่านกลไกที่สร้างขึ้นเพื่อคุ้มครองนักลงทุน, มาตรการข้อกำกับต่างๆ จะช่วยผลักดันให้ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย มีมาตรฐานเทียบเท่ากับตลาดสินทรัพย์ทางการเงินอื่นๆ อาทิ ตลาดหุ้น ซึ่งจะปูทางให้อุตสาหกรรมสินสินทรัพย์ดิจิทัลและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องมีโอกาสพัฒนาอย่างมีเสถียรภาพในระยะยาว


เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2561 ที่ผ่านมา ได้มีการออกกฎหมายเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลซึ่งครอบคลุมเงินดิจิทัลเป็นครั้งแรกสำหรับประวัติศาสตร์ไทย และไทยยังถือเป็นประเทศแรกที่มีการออกกฎหมายในลักษณะเฉพาะเจาะจงอีกด้วย โดยกฏหมายดังกล่าว มีสองฉบับด้วยกัน ได้แก่ พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 และพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2561 เพื่อดูแลประเด็นภาษีที่เกี่ยวข้อง และมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม เป็นต้นไป ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้สรุปประเด็นที่น่าสนใจ ดังนี้

4_4

ประเทศไทยกับการเป็นประเทศแรกที่สร้างความชัดเจนทางกฎหมายให้กับสินทรัพย์ดิจิทัลที่ผ่านมา ในกรณีของประเทศอื่นๆ จะเน้นการประยุกต์ใช้กฎเกณฑ์ธุรกิจหลักทรัพย์ที่มีอยู่แล้วมาประยุกต์ใช้กับกรณีของสินทรัพย์ดิจิทัล อาทิ อาทิ สหรัฐฯ และสวิสเซอร์แลนด์ เพียงแต่ให้ความชัดเจนกับตลาดว่ากฎดังกล่าวจะมีผลกับตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลเช่นไร แต่สำหรับทางการไทยนั้น เลือกที่จะสร้างความชัดเจน ด้วยการออกกฎหมายเป็นการเฉพาะ และจำแนกชนิดสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นสองชนิด คริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) และโทเคนดิจิทัล (Token Digital) โดยมีความแตกต่างสำคัญคือ สินทรัพย์ดิจิทัลชนิดแรกจะถูกสร้างขึ้นไว้แลกเปลี่ยนกับสินค้าและบริการในลักษณะเดียวกับเงินตราทั่วไป หรือทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนนั่นเอง ในขณะที่ สินทรัพย์ดิจิทัลชนิดที่สอง หรือโทเคนดิจิทัล ถูกสร้างมาเพื่อตอบวัตถุประสงค์ด้านการร่วมลงทุนในโครงการ/กิจการ และให้ได้มาซึ่งสินค้า/บริการ/สิทธิอื่นใด ตามที่ ก.ล.ต.กําหนด โดยมีการระบุไว้ชัดเจนว่าทั้งคริปโทเคอเรนซีและโทเคนดิจิทัลตามที่กำหนด ไม่ใช่หลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (มาตรา 5) 


นอกจากนี้ ยังได้มีการจำแนกธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลไว้ 4 ประเภท ที่ครอบคลุมผู้ที่เกี่ยวข้องในระบบนิเวศน์ของสินทรัพย์ดิจิทัล ได้แก่ 1) ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (ซึ่งเปรียบเสมือนตลาดกลาง เพื่อแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล)2) นายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล 3) ผู้ค้าสินทรัพย์ดิจิทัล (ซึ่งเป็นบุคคลที่ทำหน้าที่คล้ายศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล แต่ดำเนินการซื้อขายจริงนอกศูนย์ดังกล่าว)4) กิจการอื่นตามที่รัฐมนตรีประกาศตามข้อเสนอของก.ล.ต.


ส่วนประเด็นด้านภาษี ก็มีการกำหนดอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายไว้ในอัตรา 15% ของเงินได้พึงประเมิน ซึ่งคำนวณจาก 1) เงินส่วนแบ่งของกำไร หรือผลประโยชน์อื่นใดในลักษณะเดียวกัน ที่ได้จากการถือหรือการครอบครองโทเคนดิจิทัล และ 2) ผลประโยชน์ที่ได้จากการโอนคริปโทเคอร์เรนซี หรือโทเคนดิจิทัล เฉพาะซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุน หรือ Capital Gain นั่นเอง ซึ่งอัตรา 15% นี้ เป็นมาตรฐานการเก็บภาษีเดียวกับกรณีตราสารหนี้ เข้าใจว่ามีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนให้ผู้ซื้อเน้นการลงทุนระยะยาว มากกว่าการเก็งกำไรระยะสั้น ขณะที่ ฝั่งผู้ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลนั้น แม้จะไม่ได้มีการระบุเป็นกฎหมายเพิ่มเติมในขณะนี้ถึงภาระภาษีที่เกี่ยวข้อง แต่ผู้ประกอบการดังกล่าว ก็มีหน้าที่ที่จะต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตรา 20% หรือบุคคลธรรมดาตามขั้นของรายได้รวมทั้งปี ตลอดจนอาจต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม  7% ให้กับทางการด้วย อย่างไรก็ตามประเด็นภาษีนี้ทางการอาจมีประกาศเพิ่มเติมเพื่อสร้างความชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง 


กฎหมายย้ำเจตนารมณ์ในการดูแลนักลงทุนรายย่อย ควบคู่กับการส่งเสริมบทบาทความรับผิดชอบของผู้ประกอบการในธุรกิจพ.ร.ก. การประกอบการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 มีการดูแลควบคุมการเสนอขายโทเคนดิจิทัลต่อประชาชน (หมวดที่ 3) โดยที่มาตราทั้งหมด กำหนดให้บริษัทที่จะเสนอขายโทเคนดิจิทัลที่ออกใหม่ต่อประชาชน (การจะออก ICO) ต้องทำตามข้อบังคับจาก ก.ล.ต. ทั้งในด้านการเสนอข้อมูลต่อนักลงทุน ด้านคุณสมบัติของกรรมการและผู้บริหารบริษัท ไปจนถึงการที่บริษัทต้องจัดส่งรายงานเกี่ยวกับผลการดำเนินงานและฐานะการเงินของบริษัท ซึ่งทั้งหมดนี้ หากไม่ประพฤติตาม จะมีโทษทั้งทางอาญาและทางแพ่ง
ทำไมกฎหมายจึงต้องแตะรายละเอียดถึงกระบวนการต่างๆ ? ทั้งนี้ เนื่องจากการลงทุนไม่ว่าจะช่องทางใดย่อมมีความเสี่ยง จึงจำเป็นจะต้องมีการคัดกรองให้ผู้ขายมีคุณสมบัติในระดับหนึ่ง ซึ่งจะเป็นการช่วยลดความเสี่ยงให้นักลงทุน การที่ทางการจะตั้งกฎเกณฑ์ข้อบังคับให้ผู้เสนอขายสินทรัพย์ดิจิทัลมีภาระรับผิดชอบเช่นเดียวกับบริษัทที่จะนำหุ้นหรือตราสารหนี้ออกขายสู่ประชาชนจึงเป็นเรื่องธรรมดา และแม้ว่าการมีกฎเกณฑ์เช่นทุนการจดทะเบียนหรือข้อมูลบัญชีอาจจะกระทบต่อระยะเวลาที่ต้องใช้ในการออก ICO บ้าง แต่ก็ไม่น่าจะเป็นอุปสรรคที่จำกัดโอกาสของธุรกิจ หรือสตาร์ทอัพที่มีคุณภาพ 


ขณะเดียวกัน ก็มีบทลงโทษในมาตรา 22 ที่ชัดเจน โดยระบุว่า การที่บริษัทจะเสนอขายสินทรัพย์ดิจิทัล แม้จะไม่ได้ให้ข้อมูลเท็จ แต่หาก ก.ล.ต. ตรวจพบว่าข้อมูลในหนังสือชี้ชวนมีความคลาดเคลื่อนในสาระสำคัญ หรือมีเหตุการณ์ที่มีผลให้ข้อมูลในหนังสือชี้ชวนเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ ทาง ก.ล.ต. สามารถสั่งระงับการขายได้ โดยผู้ฝ่าฝืนขายต่ออาจโดนปรับถึงสองเท่าของทุนที่ได้มา หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้ ด้านกฎเกณฑ์การป้องกันการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (หมวดที่ 6) ยังมีข้อห้ามอีกบางด้าน เพื่อให้มั่นใจว่ามีการซื้อขายที่โปร่งใส ได้แก่มาตรา 42 ซึ่งระบุถึงการห้ามไม่ให้กระทำการซื้อขายด้วยข้อมูลภายใน (Insider Trading) มาตรา 45 ซึ่งห้ามไม่ให้นายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ซื้อขายเพื่อผลกำไรของตนเอง โดยใช้ประโยชน์จากข้อมูลการสั่งซื้อหรือขายจากลูกค้าก่อนที่จะดำเนินการตามคำสั่งของลูกค้ารายนั้น (Front Running) มาตรา 46 ซึ่งห้ามการซื้อขายหรือส่งคำสั่งซื้อขายซึ่งจะทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจผิดเรื่องราคาหรือปริมาณการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Market Manipulation) 
ข้อห้ามต่างๆ ดังกล่าว เป็นหลักปฏิบัติเดียวกับกรณีของตลาดหลักทรัพย์ อันจะช่วยดูแลและคุ้มครองนักลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ที่ส่วนใหญ่อาจไม่ได้เชี่ยวชาญและมีความรู้เชิงลึกในการประเมินความเสี่ยงของการลงทุนในทรัพย์สินดิจิทัลนี้เป็นการเฉพาะ

กล่าวโดยสรุป กฎเกณฑ์ที่เน้นการดูแลตั้งแต่การเริ่มกระบวนการเสนอขาย ไปจนถึงหลังเสนอขาย โดยเน้นการเปิดเผยข้อมูลที่ถูกต้อง โปร่งใส และดูแลการบริหารจัดการโดยผู้บริหารที่มีความสามารถนี้ ก็เพื่อสนับสนุนให้ผู้ออก ICO มีความรับผิดชอบต่อผู้ซื้อและผู้ลงทุน โดยเฉพาะเมื่อการออก ICO มีลักษณะเฉพาะที่ได้เปรียบการระดมทุนในรูปแบบอื่นอย่างเช่นการเสนอขายหุ้น หรือการกู้ยืมเงิน เนื่องจากไม่มีผลกระทบต่อสัดส่วนของผู้ถือหุ้นเดิม (Dilution) หรือภาระทางหนี้สินเพิ่มเติมให้กับกิจการ ดังนั้น การที่กฎหมายใหม่กระตุ้นให้ฝ่ายผู้ออก ICO มีความรับผิดชอบที่ชัดเจนเช่นนี้ เท่ากับเป็นการสร้างบรรทัดฐานของการกำกับดูแลการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลให้อยู่ในระดับที่สอดคล้องกับเครื่องมือระดมทุนอื่นๆ ซึ่งจะเป็นการคุ้มครองนักลงทุน ควบคู่กับการส่งเสริมการเติบโตอย่างมีเสถียรภาพในระยะยาว


นอกจากกฎหมายใหม่นี้ ทางการไทยยังเดินหน้าแนวทางอื่นร่วมด้วยเพื่อพัฒนาสตาร์ทอัพ ส่วนประเด็นที่หลายฝ่ายกังวลว่า กฎหมายใหม่นี้อาจกระทบต่อการพัฒนาช่องทางการระดมทุนใหม่ๆ สำหรับธุรกิจสตาร์ทอัพ และการพัฒนาเทคโนโลยี Blockchain นั้น ในความเป็นจริงการพัฒนาธุรกิจสตาร์ทอัพและอุตสาหกรรม Blockchain ไทยไม่น่าจะต้องประสบความลำบากหรือหยุดชะงักเนื่องจากกฎเกณฑ์สินทรัพย์ดิจิทัลที่มีการประกาศออกมา


ทั้งนี้ เนื่องจากพ.ร.ก. การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล เป็นเพียงส่วนหนึ่งในโครงการพัฒนาระบบการเงินและโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีของประเทศ โดยยังมีส่วนอื่นอีกมาที่ได้รับการส่งเสริมให้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง เช่นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Blockchain โดยสถาบันการเงินต่างๆ หลายแห่ง หรือโครงการ Regulatory Sandbox ของ ธปท. ซึ่งเปิดช่องทางให้บริษัทพัฒนาธุรกิจ Fintech โดยไม่ได้จำกัดอยู่แค่ Blockchain เช่น P2P Lending นอกจากนี้ ทางการไทยก็ได้ริเริ่มผลักดันช่องทางการระดมทุนใหม่ประเภทอื่นๆ เช่นตลาดหลักทรัพย์สำหรับสตาร์ทอัพ LiVE ที่จะเริ่มให้มีการซื้อขายกันในปีนี้ ทำให้ภาพรวมของอุตสาหกรรมสตาร์ทอัพและเทคโนโลยีสมัยใหม่ของประเทศไทยยังคงมีแนวโน้มที่ดี โดยที่การพัฒนาในด้านต่างๆจะเกิดขึ้นอย่างมีเสถียรภาพและความยั่งยืน