'ทักษิณ' แพ้คดี ฟ้อง 'อธ.กรมการกงสุล' เพิกถอนพาสปอร์ต

'ทักษิณ' แพ้คดี ฟ้อง 'อธ.กรมการกงสุล' เพิกถอนพาสปอร์ต

ศาลปค.สูงสุด ยืนเพิกถอนพาสปอร์ต "ทักษิณ" ชี้ถ้อยคำสัมภาษณ์ถึงองคมนตรีเสียหายถึงสถาบัน-เกียรติภูมิประเทศ ระบุ คำสั่ง อธ.กรมการกงสุล-ปลัดบัวแก้ว ชอบด้วยกฎหมาย

เมื่อวันที่ 1 พ.ค. 61 ที่ศาลปกครอง ถ.แจ้งวัฒนะ ศาลปกครองสูงสุด ได้อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อ.1412/2559 ที่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มอบอำนาจให้นายวัฒนา เตียงกูล ทนายความ ยื่นฟ้อง อธิบดีกรมการกงสุล และ ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1-2 เรื่องออกคำสั่งโดยมิชอบ กรณีที่ผู้ถูกฟ้องทั้งสอง มีคำสั่งเมื่อวันที่ 26 พ.ค.58 ยกเลิกหนังสือเดินทาง 2 ฉบับ คือ หนังสือเดินทางเลขที่ U 957411 และเลขที่ Z 530117

โดยคดีนี้ นายทักษิณ ยื่นฟ้อง เป็นคดีต่อศาลปกครองกลาง หมายเลขดำ 2115/2558 อ้างว่า คำสั่งของอธิบดีกรมการกงสุล ผู้ถูกฟ้องที่ 1 ยกเลิกหนังสือเดินทางนั้นเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากออกคำสั่งโดยไม่มีอำนาจ ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอน เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมและใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะระเบียบกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ.2548 กำหนดให้ อธิบดีกรมการกงสุล ผู้ถูกฟ้องที่ 1 มีอำนาจยกเลิกหนังสือเดินทางของบุคคลนั้น ก็เป็นเพียงกฎระเบียบภายในฝ่ายบริหาร ไม่มีกฎหมายระดับพระราชบัญญัติให้อำนาจไว้ จึงขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย , ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง

ซึ่งศาลปกครองกลาง มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 27 ก.ย.59 ให้ยกฟ้องคดี เนื่องจากเห็นว่าข้อกำหนดเกี่ยวกับระเบียบการออกหนังสือเดินทางและเอกสารการเดินทาง ขั้นตอนและวิธีการในการขอหนังสือเดินทางและเอกสารฯ ข้อ 21 (4) ว่า พนักงานเจ้าหน้าที่สามารถปฏิเสธหรือยับยั้งการขอ หรือแก้ไขหนังสือเดินทางได้ เมื่อผู้ร้องกระทำผิดกฎหมายหรือระเบียบปฏิบัติราชการ ซึ่งขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือปิดบังความจริงอันเป็นสาระสำคัญ หรือแสดงเอกสารหลักฐานอันเป็นเท็จในการขอหนังสือเดินทาง หรือไม่อยู่ในฐานะที่จะเดินทางไปต่างประเทศ หรือหากเดินทางออกนอกราชอาณาจักรจะเป็นภัยต่อสวัสดิภาพของผู้เดินทางเองหรือกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงปลอดภัย หรือชื่อเสียงและเกียรติภูมิของประเทศไทย

ข้อ 23 กำหนดว่า พนักงานเจ้าหน้าที่สามารถยกเลิกและเรียกคืนหนังสือเดินทางได้ เมื่อปรากฏภายหลังว่า (2) ผู้ถือหนังสือเดินทางเป็นบุคคลซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ไม่อาจออกหนังสือเดินทางให้ตามข้อ 21 (4) เป็นหลักเกณฑ์เงื่อนไขบางประการที่กำหนดให้อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่สามารถปฏิเสธ หรือยับยั้งหรือยกเลิกหนังสือเดินทางได้ ไม่มีผลกระทบต่อสิทธิของบุคคลในการเดินทางโดยเด็ดขาดแต่อย่างใด ดังนั้นระเบียบดังกล่าวจึงไม่ขัดต่อสิทธิเสรีภาพในการเดินทางและกระทบกระเทือนสาระสำคัญแห่งสิทธิและเสรีภาพในการเดินทางตามที่รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ.2550 มาตรา 29 และมาตรา 34 บัญญัติรับรองไว้ รวมทั้งไม่ขัดต่อปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และกติการะหว่างประเทศ ว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง

ต่อมา นายทักษิณ มอบอำนาจให้ทนายความ ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาต่อศาลปกครองสูงสุด ซึ่ง ศาลปกครองสูงสุด วินิจฉัยแล้ว เห็นว่า การเพิกถอนหนังสือเดินทางไม่ได้มีผลโดยตรงในการห้ามการเดินทาง แต่เสรีภาพในการเดินทางไปต่างประเทศอาจถูกจำกัดได้ด้วยข้อกำหนดของแต่ละประเทศ และรัฐย่อมมีอำนาจกำหนดข้อปฏิเสธในการออกหนังสือเดินทาง เพื่อป้องกันผู้กระทำผิดหลบหนี และป้องกันไม่ให้มีการกระทำอันเสื่อมเสียแก่ประเทศชาติ

ขณะที่ข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายทักษิณ ผู้ฟ้อง ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวต่างประเทศเกี่ยวกับข้อเท็จจริงในเหตุการณ์รัฐประหารในประเทศไทย โดยมีเนื้อหากล่าวถึงองคมนตรีซึ่งมีหน้าที่ถวายความเห็นต่อพระมหากษัตริย์ ในทำนองที่ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล ถ้อยคำดังกล่าวจึงเป็นปรปักษ์กับการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ก่อให้เกิดความเสียหายแก่สถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นการกระทบต่อชื่อเสียงและเกียรติภูมิของประเทศไทย ตามระเบียบกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ.2548 ข้อ 21 (4) การยกเลิกหนังสือเดินทางจึงมีผลเป็นการไม่รับรองให้ผู้ฟ้องสามารถเดินทางโดยอ้างสิทธิการอนุญาตของประเทศไทยได้อีกต่อไป

ซึ่งศาลมีอำนาจแปลความหรือวินิจฉัยถ้อยคำการให้สัมภาษณ์ของผู้ฟ้องได้ว่าเข้าหลักเกณฑ์ข้อห้ามตามที่กำหนดไว้หรือไม่ การที่ อธิบดีกรมการกงสุล มีคำสั่งยกเลิกหนังสือเดินทางของผู้ฟ้องจึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลปกครองสูงสุดจึงมีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลปกครองกลางที่พิพากษายกฟ้อง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษายกฟ้อง นายทักษิณ เช่นนี้แล้ว เท่ากับการเพิกถอนพาสปอร์ตของนายทักษิณ จึงมีผลเด็ดขาดนับตั้งแต่ 2558 โดยถูกต้องตามกฎหมาย