ยืดอายุมะม่วงถึง 1 เดือน...วิทยาศาสตร์ฯ มธ. โชว์

ยืดอายุมะม่วงถึง 1 เดือน...วิทยาศาสตร์ฯ มธ. โชว์

“นวัตกรรมแถบสีบอกความสุก และนวัตกรรมชะลอการสุกมะม่วง” บอกลาปัญหามะม่วงช้ำ-เน่า หนุนเกษตรกรไทย รับดีมานด์อุตสาหกรรมส่งออกผลไม้  นักวิจัยคณะวิทยาศาสตร์ฯ มธ.คว้าเหรียญทองเจนีวา

รศ.ดร.วรภัทร ลัคนทินวงศ์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาเทคโนโลยีการเกษตร คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดตัว “แถบสีชีวภาพบอกความสุก (Bio-ripeness indicator) และถุงแอคทีฟชะลอการสุกมะม่วง” ครั้งแรกของโลก ลดอัตราการเสียหายของผลผลิตเมื่อวางจำหน่าย 100 เปอร์เซนต์ ผลงานดังกล่าว ประกอบด้วย สารละลายกระตุ้นการสร้างสารสีคลอโรฟิลล์ (chlorophyll supplement) ให้มีปริมาณที่มากขึ้น พร้อมชะลอการทำงานของเอนไซม์ที่ทำหน้าที่สลายคลอโรฟิลล์ในมะม่วง สามารถชะลอได้สูงถึง 30 วันหรือ 1 เดือน โดยที่ไม่ทิ้งสารตกค้าง 

ถุงห่อแอคทีฟ (Active Bag) ทีมีช่องให้แสงผ่านพลาสติกชนิดเลือกแสงผ่าน เพื่อให้เกิดการสร้างคลอโรฟิลล์ได้มากที่สุด และส่วนบ่งบอกดัชนีความสุก คือ แถบสีอินดิเคเตอร์ (Indicator) เป็นแถบสีแสดงการสุกของเนื้อมะม่วงใน 4 ระยะ คือ สีเขียว-เนื้อมะม่วงที่ยังดิบ สีเหลืองอ่อน-เนื้อมะม่วงที่เริ่มสุก สีเหลือง-เนื้อมะม่วงที่พร้อมรับประทาน และ สีเหลืองเข้ม-เนื้อมะม่วงที่สุกเกินมาตรฐาน โดยมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำ โดยเฉลี่ยไม่เกิน 2 บาทต่อมะม่วง 1 ผล ทั้งนี้ล่าสุดผลงานดังกล่าว ได้รับรางวัลเหรียญทอง การันตีคุณภาพ จากเวทีประกวดสิ่งประดิษฐ์เวทีนานาชาติ ครั้งที่ 46 (46th International Exhibition of Inventions of Geneva) ณ กรุงเจนีวา ประเทศสมาพันธ์รัฐสวิส (Switzerland)

นวัตกรรมทั้งสองถูกพัฒนาขึ้นด้วยต้นทุนต่ำ โดยเฉลี่ยไม่เกิน 2 บาทต่อมะม่วง 1 ผล โดยที่สารกระตุ้นคลอโรฟิลล์ มีต้นทุนเฉลี่ยเพียง 20 สตางค์ต่อการฉีด 1 ครั้ง ถุงแอคทีฟ มีราคาโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 1.5-3  บาทต่อถุง และแถบสีอินดิเคเตอร์ มีต้นทุนเพียง 5 สตางค์ต่ออัน เพื่อเป็นการยกระดับคุณภาพผลผลิตของเกษตรกรให้สามารถวางจำหน่ายได้ในราคาที่สูงขึ้น หรือมีโอกาสวางจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ขณะที่ดิสทริบิวเตอร์ (Distributor) หรือผู้ประกอบการที่รับซื้อผลไม้เพื่อการค้าและการส่งออก ก็จะได้รับผลผลิตที่มีคุณภาพ พร้อมทั้งลดอัตราการเสียหายของผลผลิตเมื่อวางจำหน่าย 100 เปอร์เซนต์ กล่าวคือ หากผู้ประกอบการรับซื้อมะม่วงจากเกษตรกรจำนวน 100 ผล ก็จะสามารถจำหน่ายได้ครบทั้ง 100 ผล โดยที่ไม่มีผลผลิตช้ำหรือเน่าเสียจากการบีบ-กดของผู้บริโภค 

ทั้งนี้  “มะม่วงพันธุ์น้ำดอกไม้สีทอง” มะม่วงพันธุ์ผสม ปลูกและเติบโตได้ดีในพื้นที่ชุ่มน้ำ มาพร้อมกับรูปลักษณ์ที่เรียวสวย และรสชาติที่หวานหอมเมื่อสุก โดยสามารถส่งออกได้ถึงปีละ 3.3 พันตัน หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 3 พันล้านบาท (ที่มา: สำนักงานส่งเสริมการค้า นครโอซากา, 2558) อีกทั้งยังได้รับความนิยมสูงสุดในตลาดจีน-ญี่ปุ่น โดยมีราคาขายสูงถึงผลละ 200-300 บาท แต่ทั้งนี้ ด้วยการห่อผลมะม่วงด้วยถุงห่อ เพื่อป้องกันแมลงวันผลไม้เข้าทำลาย เป็นเวลา 1 เดือนทำให้ผลมะม่วงมีสีเหลืองทอง เมื่อถึงระยะเก็บเกี่ยวและนำไปวางขายในตลาดค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) และตลาดต่างประเทศ ผู้บริโภคไม่ทราบว่ามะม่วงสุกแล้วหรือยัง จะเกิดปัญหารอยช้ำและเน่าเสีย จากการบีบหรือกดของผู้บริโภคเนื่องจากไม่สามารถแยกแยะความดิบหรือสุกของมะม่วงได้ เนื่องจากเป็นสีเหลืองทอง ซึ่งแตกต่างจากมะม่วงสายพันธุ์อื่นๆ ที่สุกแล้วจะเปลี่ยนสีเขียวไปเป็นสีเหลือง ส้มแดง ที่ผู้บริโภครับรู้ว่าสุกพร้อมบริโภค ซึ่งส่งผลให้ผลผลิตต่อวันได้รับความเสียหายและไม่สามารถวางขายต่อได้กว่า 30 เปอร์เซ็นต์