'ไอเอ็มเอฟ' เพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจไทยโต 3.9%

'ไอเอ็มเอฟ' เพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจไทยโต 3.9%

"ไอเอ็มเอฟ" เพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัว 3.9% จาก 3.5% ส่วนปีหน้าคาดว่าจะโต 3.8% ขณะที่คงประมาณการเศรษฐกิจโลกขยายตัว 3.9% เช่นเดียวกัน

คณะผู้เชี่ยวชาญของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ) นำเสนอรายงานภาพรวมเศรษฐกิจโลกรายไตรมาสครั้งล่าสุด ระบุว่า เศรษฐกิจโลกยังคงขยายตัวต่อเนื่องต่อไปอีก 2 ปี คือปีนี้ และปี 2562 ก่อนจะชะลอตัวลงหลังจากนั้น โดยเฉพาะในปี 2563 ที่ปริมาณการค้าโลกอาจจะลดลงเนื่องจากปัญหาความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ 2 ประเทศคือจีนและสหรัฐ ที่อาจลุกลามกลายเป็นการทำสงครามการค้าระหว่างกัน ทั้งนี้ แผนกวิจัยทางเศรษฐกิจของไอเอ็มเอฟ คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกยังคงขยายตัวที่อัตรา 3.9% ในปีนี้และปี 2562 จาก 3.8% ในปี 2560 ถือเป็นการเติบโตในอัตราเร็วที่สุดในรอบ 6 ปี จากการที่เศรษฐกิจโลกค่อยๆฟื้นตัว และหลายประเทศยังคงดำเนินนโยบายสนับสนุนด้านการคลัง

นอกจากนี้ไอเอ็มเอฟ ยังคาดการณ์ว่าภูมิภาคเอเชียยังคงเป็นภูมิภาคที่มีอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจรวดเร็วที่สุด โดยเฉพาะจีน อินเดีย และอีกหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน)ที่การขยายตัวทางเศรษฐกิจดีกว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกโดยเฉลี่ย

“ชาติเศรษฐกิจเกิดใหม่ในเอเชีย ซึ่งเราคาดการณ์ว่าจะมีอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจประมาณ 6.5% ในช่วงปีนี้ และปี 2562 ยังคงเป็นเครื่องจักรสำคัญที่สุดผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจโลก”รายงานของไอเอ็มเอฟ ระบุ

ไอเอ็มเอฟ ยังได้ปรับเพิ่มคาดการณ์จีดีพีปีนี้เป็น 3.9% จากเดิมคาดการณ์ไว้ที่ 3.5% เมื่อเดือนต.ค. และคาดการณ์ว่าปี 2562 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัว 3.8% ส่วน เศรษฐกิจจีนจะขยายตัวเฉลี่ย 6.6% ในปีนี้ และ 6.4% ในปี 2562 ไม่เปลี่ยนแปลงจากรายงานคาดการณ์เมื่อเดือนม.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่รัฐบาลจีน ตั้งเป้าเศรษฐกิจขยายตัวที่ 6.5% ส่วนเศรษฐกิจอินเดีย ไอเอ็มเอฟ ประเมินว่าจะขยายตัวที่ 7.4% ในปีนี้ และ 7.8% ในปีหน้า ไม่เปลี่ยนแปลงจากการคาดการณ์ครั้งก่อน ทั้งนี้รายงานประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจโลกฉบับล่าสุดของไอเอ็มเอฟ สอดคล้องกับรายงานคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจโลกของธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์)เมื่อเดือนม.ค. ที่ระบุว่า การเติบโตของเศรษฐกิจโลกอาจจะเริ่มชะลอตัวลงในช่วง 2 ปีข้างหน้า ผลพวงจากเศรษฐกิจของประเทศมหาอำนาจโลกอย่าง สหรัฐ จีน และสหภาพยุโรปเริ่มชะลอความร้อนแรง

อย่างไรก็ตามไอเอ็มเอฟปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของสหรัฐในปีนี้ สู่ระดับ 2.9% เพิ่มขึ้น 0.2% จากตัวเลขคาดการณ์ก่อนหน้านี้ในเดือนม.ค. และคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจะขยายตัว 2.7% ในปีหน้า โดยเพิ่มขึ้น 0.2% จากตัวเลขคาดการณ์เดิม ขณะที่ได้ผลบวกจากมาตรการปฏิรูปภาษี ซึ่งมีการปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสู่ระดับ 21% จาก 35%

ขณะเดียวกันคาดการณ์การขยายตัวของญี่ปุ่นในปีนี้ ที่ระดับ 1.2% โดยไม่เปลี่ยนแปลงจากคาดการณ์ก่อนหน้านี้ และคาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 0.9% ในปีหน้า และยังปรับเพิ่มตัวเลขการขยายตัวของการซื้อขายสินค้าและบริการทั่วโลก โดยปรับเพิ่มขึ้น 0.5% สู่ระดับ 5.1% ในปีนี้ และเพิ่มขึ้น 0.3% สู่ระดับ 4.7% ในปีหน้า

บรรดานักเศรษฐศาสตร์ของไอเอ็มเอฟจำนวนมากต่างกังวลกันว่า การที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้มาตรการกีดกันทางภาษีทั่วโลก ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจโลกไม่สามารถขยายตัวต่อไปได้ ทั้งยังคาดการณ์กันว่า ประเด็นกีดกันทางการค้าจะเป็นประเด็นหลักในการหารือของนักเศรษฐศาสตร์และเจ้าหน้าที่การเงินของประเทศต่างๆในการประชุมช่วงฤดูใบไม้ผลิของไอเอ็มเอฟและธนาคารโลก ที่กรุงวอชิงตัน ในขณะนี้

ในรายงานฉบับนี้ ไอเอ็มเอฟ ระบุถึงปัจจัยต่างๆที่อาจฉุดรั้งให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง ซึ่งรวมถึงลัทธิกีดกันการค้าที่เพิ่มขึ้น ความตึงเครียดทางการค้าและการเมืองที่รุนแรงขึ้นและแรงสนับสนุนให้เกิดการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจทั่วโลกที่เริ่มแผ่วลงอย่างต่อเนื่อง

นางคริสติน ลาการ์ด ผู้อำนวยการไอเอ็มเอฟ เตือนว่า เศรษฐกิจโลกจะตกอยู่ภายใต้ภาวะอึมครึมท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดด้านการค้าระหว่างสหรัฐและจีน พร้อมกับผลักดันให้รัฐบาลประเทศต่างมีจุดยืนที่ชัดเจนเกี่ยวกับลัทธิการปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง มิเช่นนั้นก็จะต้องเผชิญกับผลลัพธ์ด้านลบตามมา

ผอ.ไอเอ็มเอฟ ระบุด้วยว่า ระบบการค้าโลกในปัจจุบันเสี่ยงที่จะแตกเป็นเสี่ยงๆ และมีแนวโน้มที่จะทำให้เศรษฐกิจโลกผันผวนและยังทำให้ผู้บริโภคยากจนลง โดยเธอเห็นว่า ทุกประเทศทั่วโลกควรเพิ่มความพยายามในการลดกำแพงการค้ามากยิ่งขึ้นเป็น 2 เท่า และคลี่คลายความเห็นต่างโดยปราศจากการใช้มาตรการเพิ่มเติม

การแสดงความเห็นของผอ.ไอเอ็มเอฟมีขึ้น หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ ประกาศว่าจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน เพื่อตอบโต้การค้าที่ไม่เป็นธรรม โดยสหรัฐมียอดขาดดุลการค้ากับจีน 3.75 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่จีนแถลงตอบโต้ด้วยการจัดเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐ