เปิดใจ 'สมโภชน์ อาหุนัย' ลั่นผมไม่ใช่นักขายฝัน

เปิดใจ 'สมโภชน์ อาหุนัย' ลั่นผมไม่ใช่นักขายฝัน

ขึ้นชื่อ "สมโภชน์ อาหุนัย" ในวงการการหลักทรัพย์ ได้เคยสร้างความฮือฮา ด้วยการปั้นบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หยวนต้าขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ในธุรกิจ จนไม่มีใครไม่รู้จักผู้ชายคนนี้

หลังจากหายไปจากธุรกิจการเงินไปนานจนเมื่อปี 2556 นำบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ยังมาพร้อมกระแสโจมตีว่าเป็นนักขายฝัน

เนื่องจากโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลมที่ชี้แจงในหนังสือชี้ชวน ยังไม่มีการก่อสร้างและเมื่อเทียบกับฐานทางการเงินในช่วงเวลานั้น ทุนจดทะเบียน 373 ล้านบาท มูลค่ามาร์เก็ตแคป 28,000 ล้านบาท หากแต่ลงทุนในระดับหมื่นล้านบาท เป็นใครก็ต้องตั้งคำถามความเป็นไปได้ในโครงการอนาคตจะทำได้จริงหรือ

หรือแม้แต่วันนี้จะกระโดดไปลุยธุรกิจอนาคตอย่างโรงงานแบตเตอรี่ (energy storage) ลงทุนสูงถึงแสนล้านบาท และผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ทำให้ราคาหุ้นถูกเทขายทุบร่วงลงไปช่วงต้นเดือนมี.ค. ที่ผ่านมา จากข่าวลือว่าเตรียมจะขายวิมานในอากาศ

ท่ามกลางการวิเคราะห์ราคาหุ้นจากโบรกเกอร์ บล.ไทยพาณิชย์ ที่ตีมูลค่าหุ้นเพียง 27 บาทต่อหุ้น ข่าวลือแง่ลบเกี่ยวกับโครงการและบริษัท ซึ่งในฐานะประธานกรรมการบริหาร และผู้ถือหุ้นรายใหญ่ EA (23.30%) ไม่ค่อยเปิดใจคุยกับสื่อเท่าไรต้องออกโรงชี้แจงข่าวลือตัวเองกับบริษัท ที่ปั้นมากับมือ

“โครงการผมไม่ได้ขายฝันนะ ไม่ได้อยู่แค่ในกระดาษ วันนี้ดำเนินโรงงานแบตเตอรี่ สถานีจำหน่ายไฟฟ้า รถ EV เดินหน้าหมด กรีนดีเซลและ PCM ยังทำ ในแง่ที่เคยทำงานนักวิเคราะห์มาก่อน การมาตีเป็นศูนย์ในทุกโครงการไม่ถูก จะให้ ห้า สิบ ยี่สิบ ทำได้ ถึงขั้นไม่ให้เลยผมคงไม่ต้องมาทำธุรกิจก็ได้ ไม่ต้องขยายอะไรนั่งเฉยๆ พอ"

บางทีมีการมาโฟกัสตัวผมว่าทำอะไรใหม่ๆ เป็นรายแรก มีการไม่เชื่อบ้างเป็นปกติ ไม่ต้องชื่อสมโภชน์ ก็ได้เป็นใครทำก็เจอ ซึ่งบริษัทไม่ได้ทำเรื่องใหม่ครั้งแรก โดนท้าท้ายมาตลอด ตั้งแต่เข้าตลาดหุ้นคิดว่าโครงการต้องทำไม่ได้ ต้องมีการเพิ่มทุน แล้ววันนี้ก็ไม่มีการเพิ่มทุนเลย โครงการที่ว่ามาทำสำเร็จทุกโครงการตามในหนังสือชี้ชวน แต่วันนั้นคนไม่เชื่อเพราะเป็นเรื่องใหม่ แต่เวลาก็พิสูจน์ด้วยตัวเอง

ส่วนเรื่องราคาหุ้นไม่ใช่เรื่องที่ผมจะมาชี้แจง เพียงแต่เห็นรายการขายที่ผิดปกติจากกองทุนหุ้นระยะยาว บุคคลธรรมดา 2 ราย และชอร์ตเซล รวม 100 ล้านหุ้น บวกกับมีบทวิเคราะห์ ที่แตกต่างชัดเจนทั้งที่ บริษัทแม่ ธนาคารไทยพาณิชย์สนับสนุนการเงินให้บริษัท ทำให้ตีความว่าต้องมีอะไรในบริษัทที่ผิดปกติเกิดความกังขา

หากมองในมุมคนเขียนเค้ามีสิทธิ์ มีระบบปฏิบัติตามมาตรฐาน (Chinese wall) มีอิสระในการทำงานแต่ข้างนอกมองอีกด้านว่ามีอะไรอยู่แน่ๆ หากมาเขียนในช่วงหุ้นขึ้นอยู่ไม่มีอะไร แต่เวลาหุ้นลงมาเรื่องนี้ออกมาสถานการณ์มองไปอีกแบบ จึงเป็นอีกปัจจัยที่มีผลต่อราคาหุ้น

อย่างไรก็ตามการประเมินราคาหุ้นเป็นหน้าที่ของนักวิเคราะห์จากศูนย์ถึงร้อยราคาควรอยู่ที่ไหน ในหลายโครงการของบริษัทคงไม่ได้ให้ถึงร้อยในทุกโครงการ แต่ถึงขั้นบอกว่าไม่เชื่อว่าจะไม่เกิดเลยสำหรับโครงการในอนาคตผมก็ว่ามันเกินไป

โครงการโรงงานแบตเตอรี มีความกังขามากว่าลงทุนแสนล้านบาททำไม่ได้ แต่วันนี้บริษัทลงทุนในงบที่ถูกกว่าบริษัทต่างประเทศถึง 1 เท่าตัว โครงการจะผลิตลิเธียม ก็ถูกติงว่าราคาแพง วันนี้ราคาลงเพราะเหมืองกำลังจะเปิด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าบริษัทมาถูกทางจับเทรนตลาดได้ถูกต้อง และยังทำในต้นทุนที่ถูกกว่า

ตามแผนงานโรงงานแบตเตอรีคือลงทุน 50 กิกะวัตต์ มูลค่า 1แสนล้านบาท รู้เลยว่าคนไม่เชื่อ จึงลงทุนแบ่งเฟส เริ่มที่ 1 กิกะวัตต์ก่อน เงินลงทุน 4,000 ล้านบาท สั่งซื้อเครื่องจักรมาแล้ว มีแผนการก่อสร้างเห็นโครงการในปี 2562 แน่นอน

เมื่อเปรียบเทียบกับ เงินลงทุนเฉลี่ยปีละ 20,000 ล้านบาท มีกระแสเงินสดเข้ามาปีละ 8,000 ล้านบาทต่อปี หนี้สินต่อทุน (D/E) 2 เท่า บริษัทมีศักยภาพหาแหล่งเงินทุน ไม่ต้องเพิ่มทุนตามข่าวลือ และ ไม่ได้ทำอะไรเกินตัวจนเจ๊ง จะทำอะไรมีสติ เพราะทำธุรกิจจริงๆ ไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อสร้างข่าว

"ด้วยกระแสเงินสดที่มีอยู่ในมือไม่ได้เป็นการใช้เงินเกินตัว เพียงพอที่จะลงทุน เห็นว่าไม่มีประโยชน์ไม่ทำผมเป็นมืออาชีพพอที่จะเห็นว่าตรงไหนเหมาะสมที่จะลงทุน เราลงทุนโรงงานแบตเตอรีหลักพันล้านบาท สถานีชาร์ทไฟหลักร้อยล้านบาทก่อให้เกิดธุรกิจแสนล้าน ทำไมจะไม่ทำให้นั่งรออนาคตแพงกว่าทั้งที่วันนี้บริษัทสามารถทำได้ถูกกว่า"

ที่ผ่านมาทำให้ภาพลักษณ์บริษัทเสียหายโดยไม่ใช่ข่าวจริง ยิ่งการขายหุ้นทิ้งหอบเงินหนีไปทำให้ผมต้องเข้ามาซื้อหุ้นบริษัทครั้งแรกนับตั้งแต่เข้าตลาดหุ้นปี 2556 เพื่อส่งสัญญาณว่าไม่ไปไหน รักบริษัทนี้และตั้งใจพูดอย่างไรก็คงไม่เชื่อต้องเห็นด้วยการซื้อหุ้น

อย่างไรก็ตามบริษัทมีผู้บริหารอีกหลายคน มีระบบการบริหารไม่ได้อยู่ 1-2 คน ไม่งั้นองค์กรขนาดใหญ่เปลี่ยนผู้บริหารบริษัทเหล่านั้นคงอยู่ไม่รอด หรือมีใครมาให้ราคา 10 เท่า พร้อมกับตลาดมาให้ก็อาจจะขาย เพียงแต่วันนี้ไม่มีความคิดเหล่านั้นเลย เพราะต้องการทำในสิ่งที่พูดออกไปเกิดขึ้นให้เห็น

"ไม่มีของในโลกนี้ที่ใครคนใดคนหนึ่งหายไปแล้วบริษัทจะเจ๊งถ้ามีระบบ ธุรกิจมันเดินไปแล้ว สิ่งที่ยากที่สุดคือการที่เข็นหินลูกแรก แต่วันนี้ไม่เหมือนวันนั้น โครงการดี เกิดกำไร บริษัทมีความสามารถแข่งขัน นักลงทุนในตลาดหุ้นไม่ได้ต้องการเติบโต ไม่ต้องการอนาคตหรือ"