คลังเพิ่ม 'ผู้รับ' หลักประกันทางธุรกิจ

คลังเพิ่ม 'ผู้รับ' หลักประกันทางธุรกิจ

"กระทรวงการคลัง" ออกกฎกระทรวงเพิ่มบุคคลอื่นเป็นผู้รับหลักประกันตามกฎหมายว่าด้วยหลักประกันทางธุรกิจอีก 4 ประเภท เพื่อหนุนแหล่งเงินทุนสำหรับผู้ประกอบธุรกิจ เผยปัจจุบันมีผู้ยื่นคำขอจดทะเบียนหลักประกันทางธุรกิจแล้วกว่า 4 ล้านล้านบาท

นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า กระทรวงการคลังได้ออกกฎกระทรวงกำหนดให้บุคคลอื่นเป็นผู้รับหลักประกัน(ฉบับที่ 2)พ.ศ. 2561 เพื่อกำหนดให้บุคคลอื่นนอกจากที่กำหนดในพระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558 และกฎกระทรวงกำหนดให้บุคคลอื่นเป็นผู้รับหลักประกัน พ.ศ. 2559 สามารถเป็นผู้รับหลักประกันตามกฎหมายเพิ่มเติม

เขากล่าวว่า กฎกระทรวงดังกล่าวได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2561 กำหนดให้บุคคลดังต่อไปนี้ เป็นผู้รับหลักประกันตามกฎหมายว่าด้วยหลักประกันทางธุรกิจ ประกอบด้วย 1.สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเฉพาะกรณีกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ 2.ธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศเฉพาะกรณีการให้สินเชื่อร่วมกับสถาบันการเงิน 3.นิติบุคคลซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการประกอบธุรกิจให้เช่าซื้อและให้เช่าแบบลิสซิ่ง และ 4.นิติบุคคลซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการประกอบธุรกิจให้สินเชื่อ

ในปัจจุบันนิติบุคคลดังกล่าวมีการดำเนินการเกี่ยวกับการให้สินเชื่อในระบบ โดยกองทุนพัฒนา เอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐได้รับจัดสรรเงินทุนจากรัฐบาลจำนวน 20,000 ล้านบาท เพื่อให้สินเชื่อและร่วมลงทุนกับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่มีศักยภาพ นอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศยังมีการให้สินเชื่อร่วมกับสถาบันการเงินของไทยแก่โครงการใหญ่ที่ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากอันเกินกว่าศักยภาพสถาบันการเงินของไทยจะเป็นผู้ให้สินเชื่อเพียงรายเดียว

ส่วนกรณีของผู้ประกอบธุรกิจให้เช่าซื้อและให้เช่าแบบลิสซิ่งนั้น มีการให้สินเชื่อในแต่ละไตรมาสกว่า 500 ล้านบาท และมีสินเชื่อคงค้างในแต่ละปีกว่า 5,000 ล้านบาท และผู้ประกอบธุรกิจให้สินเชื่อ เช่น ผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ ปัจจุบันก็มีการประกอบธุรกิจแล้วกว่า 250 ราย ใน 60 จังหวัดทั่วประเทศ เป็นต้น

ดังนั้น กระทรวงการคลังจึงออกกฎกระทรวงเพิ่มเติมให้นิติบุคคลข้างต้นเป็นผู้รับหลักประกันตามกฎหมายว่าด้วยหลักประกันทางธุรกิจ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการส่งเสริมให้มีการดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยหลักประกันทางธุรกิจอย่างกว้างขวาง และเป็นการเพิ่มแหล่งเงินทุนสำหรับผู้ประกอบธุรกิจให้มีโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน สำหรับใช้ในการประกอบธุรกิจได้มากยิ่งขึ้นด้วย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม

กล่าวโดยสรุป จากการออกกฎกระทรวงดังกล่าว ทำให้ในปัจจุบันมีผู้รับหลักประกันตามกฎหมายว่าด้วยหลักประกันทางธุรกิจทั้งหมด 13 ประเภท ได้แก่ 1.สถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน 2.บริษัทที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันชีวิตตามกฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิตและบริษัทที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยตามกฎหมายว่าด้วยการประกันวินาศภัย

3.ธนาคารหรือสถาบันการเงินที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น 4.นิติบุคคลเฉพาะกิจที่มีวัตถุประสงค์ในการดำเนินการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ 5.ทรัสตีในนามทรัสต์ตามกฎหมายว่าด้วยทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน


6.บริษัทหลักทรัพย์ กองทุนรวม หรือผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์

7.นิติบุคคลซึ่งประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าตามกฎหมายว่าด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า 8.บริษัทบริหารสินทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทบริหารสินทรัพย์9.นิติบุคคลซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการประกอบธุรกิจแฟ็กเตอริง 10. สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเฉพาะกรณีกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ

11.ธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศเฉพาะกรณีการให้สินเชื่อร่วมกับสถาบันการเงิน

12.นิติบุคคลซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการประกอบธุรกิจให้เช่าซื้อและให้เช่าแบบลิสซิ่งและ13.นิติบุคคลซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการประกอบธุรกิจให้สินเชื่อ

ในปัจจุบัน มีผู้ยื่นคำขอจดทะเบียนหลักประกันทางธุรกิจกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์แล้วกว่า 200,000 คำขอ รวมแล้วเป็นมูลค่ากว่า 4 ล้านล้านบาท