ตั้ง 'ผู้ว่า รฟม.' ค้างเติ่งคมนาคมผวางานเข้า!!

ตั้ง 'ผู้ว่า รฟม.' ค้างเติ่งคมนาคมผวางานเข้า!!

ตั้ง "ผู้ว่า รฟม." ค้างเติ่ง "คมนาคม" ผวางานเข้า!!

แหล่งข่าวระดับสูงในการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการแต่งตั้งผู้ว่าการ รฟม.คนใหม่ แทนนายพีระยุทธ สิงห์พัฒนากุล ที่ยืดเยื้อมากว่า 1 ปีว่า แม้บอร์ดรฟม.ที่มี นายไกรฤทธิ์ อุชุกานนท์ชัย เป็นประธาน จะเสนอรายชื่อผู้ได้รับการสรรหาให้เป็นผู้ว่ารฟม.คนใหม่คือ นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ รองผู้ว่าการรฟม. ไปยังกระทรวงคมนาคมตั้งแต่ปลายปี 60 ที่ผ่านมา แต่จนถึงขณะนี้กระทรวงคมนาคมยังไม่นำเสนอขอความเห็นชอบต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เนื่องจากยังมีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการสรรหาและตัวผู้ที่ได้รับการสรรหาอยู่

โดยผลการสรรหาผู้ว่า รฟม.ที่เสนอชื่อนายภคพงศ์นั้น ได้ก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักภายใน รฟม. จนถึงขนาดที่ทำให้ประธานบอร์ดรฟม.ชุดเก่าต้องไขก๊อกลาออกจากตำแหน่งจากความขัดแย้งในเรื่องผลสรรหาที่ออกมา เนื่องจากนายภคพงศ์ถือเป็นรองผู้ว่าการ รฟม.ที่มีอาวุโสต่ำสุดจากระดับรองผู้ว่าฯทั้ง 3 คนที่ยื่นใบสมัคร และเพิ่งได้รับแต่งตั้งเป็นรองผู้ว่าฯ รฟม.ได้เพียงปีเดียวเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมามีเรื่องร้องเรียน นายภคพงศ์ อย่างกรณีที่ "กลุ่มธรรมมาภิบาล เครือข่ายภาคประชาชนต้านทุจริตและคอร์รัปชั่น" ได้ยื่นหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้ทบทวน ตรวจสอบการเสนอชื่อ นายภคพงศ์เป็นผู้ว่าฯ รฟม. คนใหม่ เนื่องจากเป็นบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่าทำผิดวินัยร้ายแรงหรือไม่ จากการควบคุมการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ทำให้เงินแผ่นดินและเงิน รฟม. เสียหาย 290 ล้านบาท ซึ่งแม้ในภายหลัง รฟม.จะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงใหม่ขึ้นมาตรวจสอบอีกรอบ ก่อนสรุปผลว่าไม่ผิด แต่เรื่องดังกล่าวยังคงอยู่ในระหว่างการรอผลพิจารณาของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

ขณะที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ เรียกร้องให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันตรวจสอบและช่วยกันขจัดปัญหาการทุจริตในหน่วยงานภาครัฐและในโครงการจัดซื้อจัดจ้างต่างๆ อย่างเข้มงวด จนถึงกับกำหนดให้นโยบายปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นวาระแห่งชาติ แต่ บอร์ดรฟม.กลับยังคงเสนอรายชื่อผู้ที่ได้รับการร้องเรียนเข้ามาทำหน้าที่บริหารองค์กรที่เกี่ยวพันกับโครงการจัดซื้อจัดจ้างที่มีมูลค่าหลายแสนล้านบาท ซึ่งจะทำให้ภาพพจน์ของรัฐบาลที่กำลังถูกสังคมเพ่งเล็งและตั้งข้อกังขาในเรื่องนี้